“คอตโต้”ทุ่มงบ20ล้านบาทจัดกิจกรรมการตลาด อัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย มอบโชคลูกค้ารวมกว่า8ล้านบาท หวังดันยอดขายตามเป้า6,000 ล้านบาท หลัง7เดือนแรกยอดขายรวมเพียง3,700ล้านบาท มั่นใจแคมเปญกระตุ้ยยอดขาย5เดือนสุดท้ายโต10-15%
นายอนุวัตร เฉลิมไชย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวของค่าครองชีพ ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ถีบตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน การปรับตัวของราคาวัตถุดิบในการผลิต รวมถึงต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลให้ตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาชะลอตัวต่อเนื่องทำให้คาดว่าในปีนี้อัตราการขยายตัวของตลาดกระเบื้องเซรามิคจะยังทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคชะลอการซื้อ เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยค่าครองชีพปรับตัวทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และเกิดการชะลอการซื้อออกไป
โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม3,700ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าประมาณการรายได้ทั้งปีที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่6,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงจัดแคมเปญการการตลาด เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภคขึ้นระหว่างเดือน ส.ค.51- ม.ค.52 ภายใต้แคมเปญ “ลุ้นโชคไปขับกับกระเบื้องคอนโต้” โดยเปิดให้ผู้บริโภคส่งคูปองร่วมชิงรางวัลรถนยต์ ฮอนด้าแจ๊ซ และรางวัลอื่นๆรวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ซึ่งในการจัดแคมเปญครั้งนี้บริษัทจะใช้งบประมาณในการจัดแคมเปญ20ล้านบาท
“ครั้งนี้เราทุ่มงบจัดแคมเปญการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงเป็นครั้งแรก ซึ่งหวังว่าจะให้เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการกระตุ้ยยอดขายของบริษัทในช่วง5เดือนที่เหลือให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 4,000 ล้านบาท และยอดส่งออกตลาดต่างประเทศ 2,000 ล้านบาท โดยการจัดแคมเปญครั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ10-15% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาการปรับตัวของต้นทุนโดยรวมที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนน้ำมัน ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าครองชีพ ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมของการผลิตกระเบื้องของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 10-15% ส่งผลต่อกำไรของบริษัทที่ลดลง ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายกระเบื้องแล้ว2ครั้งเฉลี่ยประมาณ5-7% อย่างไรก็ดี แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันมีการปรับลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการปรับต้นทุนการผลิตให้ลดลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบทั้งหมดยังไม่มีปรับลดราคา ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนทุนการผลิตนั้นบริษัทจึงมีแผนในการปรับลดต้นทุนการบริหารจัดการ ต้นทุนการขายส่งให้ลดลง
สำหรับตลาดรวมกระเบื้องในประเทศปี51 นี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 17,000 ล้านบสารทโดยบริษัทจะยังคงแชร์ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 23% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่จะยังมาจากการขายกลุ่มกระเบื้องเรามิคในตลาดระดับกลาง-บนเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดบริษัทได้ออกกระเบื้องตัวใหม่จับตลาดระดับบน “นิชมาร์เก็ต” โดยได้ซื้อไลน์เส้นลิขสิทธิ์จากดีส์นีย์ มาเพนท์ภาพมิคกี้เมาท์ และขายในตลาด ซึ่งเดิมตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมในปีนี้ประมาณ 10ล้านบาท แต่หลังจากที่เปิดตัวในสถาปนิกสยามฯที่ผ่านมาปรากฏว่าขณะนี้มียอดสั่งซื้อเกิน 10ล้านบาทแล้ว และคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายกว่าในหลัก100ล้านบาทได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทยอดขายเติบโตได้ตามเป้าด้วย
นายอนุวัตร เฉลิมไชย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวของค่าครองชีพ ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ถีบตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน การปรับตัวของราคาวัตถุดิบในการผลิต รวมถึงต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลให้ตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาชะลอตัวต่อเนื่องทำให้คาดว่าในปีนี้อัตราการขยายตัวของตลาดกระเบื้องเซรามิคจะยังทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคชะลอการซื้อ เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยค่าครองชีพปรับตัวทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และเกิดการชะลอการซื้อออกไป
โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม3,700ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าประมาณการรายได้ทั้งปีที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่6,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงจัดแคมเปญการการตลาด เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภคขึ้นระหว่างเดือน ส.ค.51- ม.ค.52 ภายใต้แคมเปญ “ลุ้นโชคไปขับกับกระเบื้องคอนโต้” โดยเปิดให้ผู้บริโภคส่งคูปองร่วมชิงรางวัลรถนยต์ ฮอนด้าแจ๊ซ และรางวัลอื่นๆรวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ซึ่งในการจัดแคมเปญครั้งนี้บริษัทจะใช้งบประมาณในการจัดแคมเปญ20ล้านบาท
“ครั้งนี้เราทุ่มงบจัดแคมเปญการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงเป็นครั้งแรก ซึ่งหวังว่าจะให้เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการกระตุ้ยยอดขายของบริษัทในช่วง5เดือนที่เหลือให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 4,000 ล้านบาท และยอดส่งออกตลาดต่างประเทศ 2,000 ล้านบาท โดยการจัดแคมเปญครั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ10-15% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาการปรับตัวของต้นทุนโดยรวมที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนน้ำมัน ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าครองชีพ ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมของการผลิตกระเบื้องของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 10-15% ส่งผลต่อกำไรของบริษัทที่ลดลง ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายกระเบื้องแล้ว2ครั้งเฉลี่ยประมาณ5-7% อย่างไรก็ดี แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันมีการปรับลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการปรับต้นทุนการผลิตให้ลดลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบทั้งหมดยังไม่มีปรับลดราคา ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนทุนการผลิตนั้นบริษัทจึงมีแผนในการปรับลดต้นทุนการบริหารจัดการ ต้นทุนการขายส่งให้ลดลง
สำหรับตลาดรวมกระเบื้องในประเทศปี51 นี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 17,000 ล้านบสารทโดยบริษัทจะยังคงแชร์ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 23% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่จะยังมาจากการขายกลุ่มกระเบื้องเรามิคในตลาดระดับกลาง-บนเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดบริษัทได้ออกกระเบื้องตัวใหม่จับตลาดระดับบน “นิชมาร์เก็ต” โดยได้ซื้อไลน์เส้นลิขสิทธิ์จากดีส์นีย์ มาเพนท์ภาพมิคกี้เมาท์ และขายในตลาด ซึ่งเดิมตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมในปีนี้ประมาณ 10ล้านบาท แต่หลังจากที่เปิดตัวในสถาปนิกสยามฯที่ผ่านมาปรากฏว่าขณะนี้มียอดสั่งซื้อเกิน 10ล้านบาทแล้ว และคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายกว่าในหลัก100ล้านบาทได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทยอดขายเติบโตได้ตามเป้าด้วย