"อิออน" คุยสินเชื่อยังโตสูง ตั้งเป้าปีนี้ขยายตัวเป็นเลข 2 หลัก ทำให้ต้องมีการระดมเงินทุนเพิ่ม โดยล่าสุดออกหุ้นกู้อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.59% และ4 ปี ดอกเบี้ย 5.20% มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท ซึ่งมีการค้ำประกันโดยมิซูโฮและเจบิคเกลี้ยง ระบุยอดจองทะลักถึง 2 เท่า คาดไตรมาส 4 เตรียมทำซีเคียวริไทเซชั่นอีก 2 พันล้านบาท
นายมาซาโอะ มิซูโน กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการออกหุ้นกู้มีประกันครั้งที่ 1/2551 อายุ 2 และ 4 ปี มูลค่ารวมของหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นจำนวน 2 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นชุดละ 1 พันล้านบาท หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 4.59% ต่อปี จะมีการค้ำประกันโดยธนาคาร มิซูโฮ คอร์ปอเรท (Mizuho Corporate Bank, Ltd.) สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 5.20% ต่อปี จะมีการค้ำประกันก่อนโดยธนาคาร มิซูโฮ คอร์ปอเรท และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation) ("เจบิค")จะเข้ามาค้ำประกันต่ออีกทอดหนึ่ง หุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือที่ "AAA" จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด โดยจะจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน
สำหรับเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจต่างๆรวมถึงการให้กู้สินเชื่อเพื่อซื้อรถจักยานยนต์ญี่ปุ่นและเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย อีกทั้งการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมวงเงิน 320 ล้านบาทที่จะครบอายุในปีนี้ ทั้งนี้ จากที่บริษัทได้เปิดจองหุ้นกู้ดังกล่าวในวันที่ 21-24 สิงหาคมนั้น ได้มียอดการจองมากกว่าวงเงินที่ออกหุ้นกู้ถึง 2 เท่า
"การเข้ามาค้ำประกันหุ้นกู้ครั้งนี้ของเจบิคนั้น ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative) ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศในเอเซีย ซึ่งมีระดับการออมเงินที่สูงอยู่ และเพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับการระดมทุนของภาคเอกชนระหว่างประเทศ"
นางสาวกัณณิกา เกื้อศิริกุล กรรมการฝ่ายบัญชีการเงิน บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ กล่าวว่า การระดมทุนของบริษัทในปีนี้จะมากกว่าในปีก่อนเพราะการขยายตัวของสินเชื่อจะมีค่อนข้างมาก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะให้สินเชื่อมีการขยายตัวเป็นตัวเลข 2 หลักและมากกว่าปีก่อนซึ่งมีการขยายตัวอยู่ที่ 10% ซึ่งการระดมทุนของบริษัทนั้นจะมีรูปแบบที่หลายหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยในไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์(ซีเคียวริไทเซชั่น) วงเงินประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางอยู่
"การเติบโตปีนี้คงดีกว่าปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนก็ดูได้จากตลาดในต่างจังหวัดน่าจะขยายตัวได้ รวมถึงเราคงจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อมาสร้างรายได้ และการที่ค่าครองชีพสูงขึ้นก็เป็นส่วนช่วยให้เราได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น กลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการสินเชื่อเลย เป็นต้น"
ด้านนายอภิชาต นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.6 ล้านใบ ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในปีนี้ลดลงจากปีก่อน โดยการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนในปัจจุบันอยู่ที่ 2,300-2,600 บาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2,700 บาท เนื่องจากผู้ถือบัตรมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้มองว่าความมั่นใจของผู้บริโภคน่าจะมีมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปียอดการใช้จ่ายจะมากขึ้นจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวที่น่าจะมีเพิ่มขึ้น
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในปัจจุบันอยู่ที่ 2.8-3% ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนเอ็นพีแอลทั้งปีก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันนี้ แต่เชื่อว่าจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
นายมาซาโอะ มิซูโน กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการออกหุ้นกู้มีประกันครั้งที่ 1/2551 อายุ 2 และ 4 ปี มูลค่ารวมของหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นจำนวน 2 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นชุดละ 1 พันล้านบาท หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 4.59% ต่อปี จะมีการค้ำประกันโดยธนาคาร มิซูโฮ คอร์ปอเรท (Mizuho Corporate Bank, Ltd.) สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 5.20% ต่อปี จะมีการค้ำประกันก่อนโดยธนาคาร มิซูโฮ คอร์ปอเรท และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation) ("เจบิค")จะเข้ามาค้ำประกันต่ออีกทอดหนึ่ง หุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือที่ "AAA" จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด โดยจะจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน
สำหรับเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจต่างๆรวมถึงการให้กู้สินเชื่อเพื่อซื้อรถจักยานยนต์ญี่ปุ่นและเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย อีกทั้งการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมวงเงิน 320 ล้านบาทที่จะครบอายุในปีนี้ ทั้งนี้ จากที่บริษัทได้เปิดจองหุ้นกู้ดังกล่าวในวันที่ 21-24 สิงหาคมนั้น ได้มียอดการจองมากกว่าวงเงินที่ออกหุ้นกู้ถึง 2 เท่า
"การเข้ามาค้ำประกันหุ้นกู้ครั้งนี้ของเจบิคนั้น ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative) ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศในเอเซีย ซึ่งมีระดับการออมเงินที่สูงอยู่ และเพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับการระดมทุนของภาคเอกชนระหว่างประเทศ"
นางสาวกัณณิกา เกื้อศิริกุล กรรมการฝ่ายบัญชีการเงิน บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ กล่าวว่า การระดมทุนของบริษัทในปีนี้จะมากกว่าในปีก่อนเพราะการขยายตัวของสินเชื่อจะมีค่อนข้างมาก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะให้สินเชื่อมีการขยายตัวเป็นตัวเลข 2 หลักและมากกว่าปีก่อนซึ่งมีการขยายตัวอยู่ที่ 10% ซึ่งการระดมทุนของบริษัทนั้นจะมีรูปแบบที่หลายหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยในไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์(ซีเคียวริไทเซชั่น) วงเงินประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางอยู่
"การเติบโตปีนี้คงดีกว่าปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนก็ดูได้จากตลาดในต่างจังหวัดน่าจะขยายตัวได้ รวมถึงเราคงจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อมาสร้างรายได้ และการที่ค่าครองชีพสูงขึ้นก็เป็นส่วนช่วยให้เราได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น กลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการสินเชื่อเลย เป็นต้น"
ด้านนายอภิชาต นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.6 ล้านใบ ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในปีนี้ลดลงจากปีก่อน โดยการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนในปัจจุบันอยู่ที่ 2,300-2,600 บาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2,700 บาท เนื่องจากผู้ถือบัตรมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้มองว่าความมั่นใจของผู้บริโภคน่าจะมีมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปียอดการใช้จ่ายจะมากขึ้นจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวที่น่าจะมีเพิ่มขึ้น
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในปัจจุบันอยู่ที่ 2.8-3% ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนเอ็นพีแอลทั้งปีก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันนี้ แต่เชื่อว่าจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น