xs
xsm
sm
md
lg

วอลุ่มก.ค.วูบเหลือ1.2หมื่นล./วัน ต่ำสุดในรอบปี-โบรกแนะถือเงินสด75%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหุ้นไทย ประเดิมครึ่งปีหลังด้วยบรรยากาศซบเซา เดือน ก.ค. วอลุ่มเฉลี่ยลดเหลือแค่ 1.2 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 51 และต่ำกว่าเดือน ก.ค. ปี 50 ที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยสูงกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดัชนีลดลง 92 จุด หรือ 12% และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเฉียด 3.6 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ คาดการณ์สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นผันผวน แนะเก็งกำไรระยะสั้น-ถือเงินสด 75%

ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยในรอบเดือนกรกฎาคม 51 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างซบเซา คือมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับหลากหลายปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย รวมทั้งนักลงทุนต่างชะลอการลงทุนเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ นักลงทุนได้ให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่เริ่มปะทุรอบใหม่ และส่งผลต่อสถาบันการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ และขยายสู่ทั่วโลก รวมถึงปัญหาเรื่องอัตราเงินที่ที่สูงขึ้น จากราคาน้ำมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะเริ่มลดลงบ้างในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา

ด้านปัจจัยในประเทศนั้น มีประเด็นลบใหม่ที่เข้ามากระทบ คือ เรื่องของรัฐบาลที่ออกมาประกาศเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ปมความขัดแย้งเดิมๆ เองก็ยังไม่คลี่คลายทั้งในเรื่องของการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือความขัดแย้งเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น และปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลแต่อย่างใด

นสพ.ผู้จัดการได้สำรวจความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม 51 พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนได้ปรับตัวลดลงจากสิ้นเดือนมิถุนายน 51 ที่ระดับ 768.59 จุด มาอยู่ที่ 676.32 จุด ลดลงกว่า 92.27 จุด คิดเป็นอัตราส่วน 12.01% นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 35,855.22 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 86,194.77 ล้านบาท

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 12,680.89 ล้านบาท ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันตั้งแต่ต้นปี 51 ที่ผ่านมา และต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปี 50 ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยสูงถึงวันละ 31,829.16 ล้านบาท

นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะยังคงแกว่งตัวผันผวน แต่จะมีแรงเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มต่างๆ ทยอยประกาศออกมา

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังจะได้รับแรงบวกจากกรณีที่ผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มีแผนที่จะมีการซื้อหุ้นคืน หลังจากราคาหุ้นร่วงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในอัตราหุ้นละ 2.86 บาท

"เงินปันผล PTTEP ดังกล่าวสูงกว่าประมาณการที่คาดไว้ที่หุ้นละ 2.20 บาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหุ้นกลุ่มปตท.มากขึ้น รวมทั้งคาดการณ์ว่าปตท. เองจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 5 บาท หรือมากกว่า ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกัน"

ส่วนปัจจัยด้านการเมืองนั้น การประกาศรายชื่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยได้บ้างเล็กน้อย แต่การประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลจะเป็นปัจจัยลบสำคัญเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 660-690 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้น 25% และถือครองเงินสด 75% และสามารถเข้าเก็งกำไรผลประกอบการบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)หรือ PTTCH

นางสาวจิติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายที่ปรึกษาการลงทุน บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน แต่หากจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็คงไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศยังไม่มีสัญญาณจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิ แม้จะยอดขายสุทธิจะทยอยลดลงบ้างแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาสถาบันการเงิน และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ขณะที่การเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่มีปัจจัยที่จะเข้ามาตระตุ้นให้ดัชนีตลาดหุ้นฟื้นตัว

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 ซึ่งบริษัทคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอ และอัตราเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวลที่จะต้องมีการรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ด้านปัจจัยในประเทศนั้น การประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี และมาตรการกระตุ้น 6 เดือนของภาครัฐ จะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อประจำเดือนสิงหาคม 51 ปรับตัวลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่อยู่ 9.2% ซึ่งต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดจึงเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมาในช่วงบ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 660-690 จุด โดยแนะนำนักลงทุนซื้อขายหุ้นระยะสั้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น