“หมอเลี้ยบ” ชี้ ไทยต้องเร่งปรับตัว เตรียมรับภูมิทัศน์ทาง ศก.ที่เปลี่ยนไป เตรียมเขย่าเงินคลังหลวงเอื้อระบบทุนเสรี พร้อมรื้อโครงสร้างกองทุนบำเหน็จบำนาญ-กองทุนประกันสังคม เจาะฐานเสียงกลุ่มแรงงาน-ผู้สูงอายุ พร้อมสั่งโรงจำนำหั่น ดบ.0% เริ่ม 15 ส.ค.นี้
วันนี้ (30 ก.ค.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาวิชาการหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ” โดยระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความพร้อมเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ด้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย ทั้งกระแสโลกาภิวัตน์, โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงเป็นสังคมในยุคผู้สูงวัย (Aging Society) และภาวะสิ่งแวดล้อม
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยควรหันมาเอาจริงเอาจังกับการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการพัฒนาตลาดเงิน ตลาดทุน และ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประเทศที่เ่ห็นได้จากในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแล้ว ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐ ราคาน้ำมันในตลาดโลก
“เราต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เร็วที่สุด หลังชะลอเรื่องนี้มา 10 ปีแล้ว และการจัดตั้งกองทุนบำเน็จบำนาญแห่งชาติ ที่จำเป็นต้องมีการนำมาพิจารณาศึกษาอย่างเร่งด่วน เืพื่อมาเป็นหลักประกันและรองรับให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่อีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีประชากรกลุ่มนี้มากขึ้น ขณะที่วัยแรงงาน ซึ่งเป็นวัยที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มลดลง”
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ภาครัฐต้องเร่งเตรียมงบประมาณเพื่อช่วยในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น การสร้างหลักประกันให้กับผู้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ต่างกับวัยก่อนหน้าเกษียณถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐจะต้องดึงงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ เช่น ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบ่งมาใช้ในการดูแล
สำหรับประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาพบว่้า การที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกๆ 3 องศา จะส่งผลกระทบให้ GDP ของประเทศปรับลดลงอย่างน้อย 0-3% ดังนั้น ทางออก คือ ต้องเร่งรณรงค์ให้ใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น รวมถึงการเร่งสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนต่างๆ เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
** สั่งโรงจำนำ เอาใจรากหญ้า หั่น ดบ.0% เริ่ม 15 ส.ค.นี้
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงินของประชาชนที่มีรายได้น้อย จึงมีมติให้สถานธนานุเคราะห์ทั้ง 32 แห่ง เปิดรับจำนำดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เดือนแรก สำหรับทรัพย์สินที่จำนำไม่เกิน 3 เดือน เดือนที่ 2 จะเสียดอกเบี้ย 0.5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน โดยเงินต้นต้องไม่เกิน 3,000 บาท และจำนำเป็นระยะเวลา 3 เดือน จึงจะสามารถไถ่ถอนได้ หากไถ่ถอนก่อนกำหนดจะคิดดอกเบี้ย 0.5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน
ทั้งนี้ ได้เตรียมงบประมาณ 600 ล้านบาท ไว้บริการประชาชน ซึ่งให้บริการได้ถึง 654,446 ราย และคาดว่า จะมีผู้กู้เงิน 3,000 บาท มาใช้บริการไม่น้อยกว่า 105,000 ราย โดยโครงการนี้จะมีระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งประชาชนสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.นี้