TNH ตั้ง "ไทยนครินทร์อินเตอร์คลีนิก " หวังเปิดตลาดให้ต่างชาติรู้จักโรงพยาบาลมากขึ้น พร้อมใช้เป็นเครือข่าย ส่งผู้ป่วยหนักเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่เป็นหลัก เผยไม่ได้คาดหวังรายได้ เพราะเพิ่งเริ่มต้น ขณะที่ปีนี้มั่นใจรายได้แตะพันล้าน
นางอำไพ พยัคคง ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) (TNH) เปิดเผยว่าบริษัทเพิ่งปิดทำการคลีนิกใหม่ ที่ซอยนานา เมื่อกลาเดือนมิถุนายน โดยใช้ชื่อว่า "ไทยนครินทร์อินเตอร์คลีนิก " เพื่อจะใช้เป็นหน้าต่างในการขยายตลาดดึงผู้ป่วยต่างประเทศให้กับโรงพยาบาลแม่
" เราเปิดดำเนินการคลีนิกใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และไม่ได้ประเมินรายได้ไว้ เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น แต่ก็มีหลายเคสที่เราส่งผู้ป่วยต่อไปให้กับโรงพยาบาลของเรา ถือเป็นคลีนิกแรกที่เราจะทำลักษณะการให้บริการเพื่อรักษาโรคทั่วไป เพื่อให้คนต่างชาติรู้จักโรงพยาบาลของเราเพิ่มขึ้นเพราะซอยนานามีชาวต่างชาติอยู่เยอะมาก ขณะที่โรงพยาบาลเราตั้งอยู่นอกเมือง " นางอำไพกล่าว
ทั้งนี้ คลีนิกดังกล่าวถือเป็นการเปิดตัวเพื่อให้ต่างชาติรู้จักโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งหลังเปิดดำเนินการ คลีนิกแห่งนี้แล้วพบว่าได้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลแม่แล้วหลายราย ขณะนี้เป็นช่วงของการเริ่มต้น บริษัทจึงไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือตั้งเป้ารายได้ไว้คงต้องรอผลชัดเจนปีหน้า เพราะเป้าหมายหลักขณะนี้คือโปรโมทโรงพยาบาลและส่งต่อผู้ป่วยหนักหรือต้องรักษาต่อเนื่องไปให้กับโรงพยาบาลไทยนครินทร์เป็นหลัก
โดยปีนี้ TNH ตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาท หลังจากปี 50 บริษัทมีรายได้ 886 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อนหน้า 21% ขณะที่ปกติบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ปีละ 12-15 % ส่วนผลงานไตรมาส 4 ที่กำลังจะปิดงบลงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ตัวเลขเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
นางอำไพกล่าวว่าผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตดี เป็นผลจากการผู้ป่วยนอกเพิ่ม และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยใน ตลอดจนการเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางเพิ่ม ทั้งศูนย์กระดูกและหัวใจ รวมทั้งหลังจากสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้มีชุมชนและหมู่บ้านผุดขึ้น ประชากรบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเพิ่ม ย่อมทำให้โรงพยาบาลได้รับอานิสงส์ กรณีที่เกิดการเจ็บป่วย
อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาและปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน เป็นเหตุให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคลดลง และ TNH ยอมรับว่าได้รับผลกระทบบ้าง เช่น กรณีที่ผู้ป่วยในที่อาจต้องการย้ายเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ เพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย
" ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คนเราก็ต้องดูแลตัวเอง แต่การเจ็บป่วยก็ไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะถือเป็นปัจจัย 4 แต่สำหรับเรารายได้ที่โตต่อเนื่อง เพราะบผลดีจากทุกสายงานเพิ่มขึ้น ทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในและศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง " นางอำไพกล่าว
ปัจจุบัน TNH ยังคงรับการรักษาผู้ป่วยในประเทศเป็นหลัก 95% ที่เหลือเป็นผู่ป่วยนอก ซึ่งบริษัทพยายามทำตลาด เพื่อดึงผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น แม้ TNH จะเป็นโรงพยาบาลระดับ 350 เตียง แต่การให้บริการจริงยังทำได้ไม่ถึง 300 เตียง นั่นก็ทำให้บริษัทสามารถรองรับผู้ป่วยได้อีก
สำหรับ ผลการดำเนินงานผลไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัท มีกำไรสุทธิเท่ากับ 36.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.29 %ซึ่งมีกำไรสุทธิ 24.04 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 50 อันเป็นผลสืบเนื่องจากรายได้เพิ่ม จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล ซึ่งทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเพิ่ม ส่งผลให้รายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนต่ำลง อันเกิดจากบริษัทบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารขยับเล็กน้อย
นางอำไพ พยัคคง ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) (TNH) เปิดเผยว่าบริษัทเพิ่งปิดทำการคลีนิกใหม่ ที่ซอยนานา เมื่อกลาเดือนมิถุนายน โดยใช้ชื่อว่า "ไทยนครินทร์อินเตอร์คลีนิก " เพื่อจะใช้เป็นหน้าต่างในการขยายตลาดดึงผู้ป่วยต่างประเทศให้กับโรงพยาบาลแม่
" เราเปิดดำเนินการคลีนิกใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และไม่ได้ประเมินรายได้ไว้ เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น แต่ก็มีหลายเคสที่เราส่งผู้ป่วยต่อไปให้กับโรงพยาบาลของเรา ถือเป็นคลีนิกแรกที่เราจะทำลักษณะการให้บริการเพื่อรักษาโรคทั่วไป เพื่อให้คนต่างชาติรู้จักโรงพยาบาลของเราเพิ่มขึ้นเพราะซอยนานามีชาวต่างชาติอยู่เยอะมาก ขณะที่โรงพยาบาลเราตั้งอยู่นอกเมือง " นางอำไพกล่าว
ทั้งนี้ คลีนิกดังกล่าวถือเป็นการเปิดตัวเพื่อให้ต่างชาติรู้จักโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งหลังเปิดดำเนินการ คลีนิกแห่งนี้แล้วพบว่าได้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลแม่แล้วหลายราย ขณะนี้เป็นช่วงของการเริ่มต้น บริษัทจึงไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือตั้งเป้ารายได้ไว้คงต้องรอผลชัดเจนปีหน้า เพราะเป้าหมายหลักขณะนี้คือโปรโมทโรงพยาบาลและส่งต่อผู้ป่วยหนักหรือต้องรักษาต่อเนื่องไปให้กับโรงพยาบาลไทยนครินทร์เป็นหลัก
โดยปีนี้ TNH ตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาท หลังจากปี 50 บริษัทมีรายได้ 886 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อนหน้า 21% ขณะที่ปกติบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ปีละ 12-15 % ส่วนผลงานไตรมาส 4 ที่กำลังจะปิดงบลงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ตัวเลขเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
นางอำไพกล่าวว่าผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตดี เป็นผลจากการผู้ป่วยนอกเพิ่ม และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยใน ตลอดจนการเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางเพิ่ม ทั้งศูนย์กระดูกและหัวใจ รวมทั้งหลังจากสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้มีชุมชนและหมู่บ้านผุดขึ้น ประชากรบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเพิ่ม ย่อมทำให้โรงพยาบาลได้รับอานิสงส์ กรณีที่เกิดการเจ็บป่วย
อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาและปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน เป็นเหตุให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคลดลง และ TNH ยอมรับว่าได้รับผลกระทบบ้าง เช่น กรณีที่ผู้ป่วยในที่อาจต้องการย้ายเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ เพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย
" ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คนเราก็ต้องดูแลตัวเอง แต่การเจ็บป่วยก็ไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะถือเป็นปัจจัย 4 แต่สำหรับเรารายได้ที่โตต่อเนื่อง เพราะบผลดีจากทุกสายงานเพิ่มขึ้น ทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในและศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง " นางอำไพกล่าว
ปัจจุบัน TNH ยังคงรับการรักษาผู้ป่วยในประเทศเป็นหลัก 95% ที่เหลือเป็นผู่ป่วยนอก ซึ่งบริษัทพยายามทำตลาด เพื่อดึงผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น แม้ TNH จะเป็นโรงพยาบาลระดับ 350 เตียง แต่การให้บริการจริงยังทำได้ไม่ถึง 300 เตียง นั่นก็ทำให้บริษัทสามารถรองรับผู้ป่วยได้อีก
สำหรับ ผลการดำเนินงานผลไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัท มีกำไรสุทธิเท่ากับ 36.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.29 %ซึ่งมีกำไรสุทธิ 24.04 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 50 อันเป็นผลสืบเนื่องจากรายได้เพิ่ม จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล ซึ่งทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเพิ่ม ส่งผลให้รายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนต่ำลง อันเกิดจากบริษัทบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารขยับเล็กน้อย
