“MIPIM ASIA” จัดงานนิทรรศการอสังหาฯ ฮ่องกง ดูดนักลงทุนทั่วโลกลงทุนอสังหาฯเอเชีย ระบุผู้ร่วมงานกว่า 80% จาก 12,000 คนเป็นผู้บริหารระดับสูง เผยยอดขายต่อโครงการกว่า 26 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านผู้ประกอบการไทย ขนบิ๊กโปรเจคร่วมงาน
นางคลิสติน ลาม ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Reed MIDEM ซึ่งเป็นบริษัทจัดงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้ชื่อ MIPIM ASIA เปิดเผยว่า เดิม MIDEM ทำธุรกิจค่ายเพลงและจัดนิทรรศการต่างๆ หลังจากนั้นในปี 1990 ได้ขยายไลน์จัดงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ในแถบยุโรปภายใต้ชื่อ MIPIM จนกระทั้งปัจจุบันซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
ในปี 2549 จึงได้ขยายมาจัดที่ ฮ่องกงเป็นครั้งแรก โดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงานกว่า 12,000 คน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอสังหาฯและธุรกิจที่เกี่ยวข้องถึง 80% ต่างจากงานอื่นๆที่มีประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ MIPIM ยังให้รหัสผ่านเพื่อเข้าดูข้อมูลเชิงลึกของสมาชิกผู้ร่วมงาน รวมไปถึงบทวิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจอสังหฯ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โดยบริษัทที่เข้าร่วมเช่น บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, สถาบันการเงิน, สถาปนิก, ที่ปรึกษากฎหมาย, รัฐบาล, ที่ปรึกษาบัญชี, โรงแรม, สปา กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักลงทุนจากทั่วโลก ประกอบด้วย กองทุน, บริษัทประกันหรือสถาบันการเงินที่ต้องการหาแหล่งลงทุน, บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการสำนักงานให้เช่าในภูมิภาคเอเชีย กลุ่มธุรกิจค้าปลีก, โรงแรมและสปาต่าง ที่ต้องการทำเลในการลงทุน รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในประเภทอื่น โดยเฉพาะการลงทุนจากกองทุนต่างๆ ที่ให้น้ำหนักในการลงทุนภาคในภาคอสังหาฯ จาก 2-3% ในอดีตมาเป็น 7-10% ของพอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน โดยจากสถิติการขายในแต่ละครั้งของการจัดงาน จะมีการซื้อ-ขายหรือการลงทุนประมาณ 26 ล้านเหรียญสหรัฐ/โครงการ
นางคลิสติน กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนอสังหาฯในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า แม้จะเกิดวิกฤตซัพไพรม์ในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเอเชียมากนัก เนื่องจากนักลงทุนมาจากทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป ตะวันออกกลาง ซึ่งจากการสอบถามนักลงทุน 561 ราย ระบุว่า ประเทศที่น่าลงทุนเป็น 3 อันดับแรกในภูมิภาคนี้ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนามและไทยเป็นอันดับ 3
โดยให้เหตุผลว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างโปร่งใส นักลงทุนสามารถตรวจสอบผู้ซื้อในแต่ละโครงการได้ และเป็นตลาดการลงทุนที่มีเสถียรภาพแล้ว ส่วนเวียดนามเป็นประเทศเปิดใหม่ มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แม้ว่าราคาอสังหาฯจะถีบตัวสูงขึ้นมากแต่มีเฉพาะในโฮจิมินเท่านั้น ส่วนเมืองอื่นราคายังถูกอยู่ ส่วนประเทศไทยนั้น ราคาที่ดินต่ำกว่าในภูมิภาคเดียวกัน ประชาชนมีความเป็นกันเอง แม้ว่าการเมืองจะไม่นิ่ง แต่นักลงทุนที่คลุกคลีอยู่ในตลาดนี้จะทราบดีว่าเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น การเมืองเปลี่ยนตลอด แต่หากลงทุนระยะยาวนั้นคุ้มค่า
สำหรับงาน MIPIM ASIA ในปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 19-21 พ.ย.51 ณ ฮ่องกง คอนเวนชั่น แอนด์ เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ผู้เข้าร่วมงานจะต้องเสียค่าเข้างานรายละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ส่วนผู้ที่ออกบูธจะคิดราคาบูธ ขนาดมาตรฐาน 3x3 เมตร ราคา 4,500 ยูโร มีพื้นที่จัดงานทั้งหมด 8,000 ตร.ม.
“ผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับ MIPIM เป็นการประชาสัมพันธ์บริษัทให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล รวมถึงได้พันธมิตรทางธุรกิจทั้งจากทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียและยุโรป มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่ม และที่สำคัญนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการลงทุนในระยะยาวและไม่ได้ต้องการเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัท ในปีนี้ตั้งเป้าบริษัทเข้ารวมงานจากไทยอย่างน้อย 9 ราย จากปีที่แล้วเข้าร่วม 7 ราย เช่น กลุ่มทีซีซี แลนด์, บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัทไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน), เกสร พลาซ่า และสปาซิกส์เซ็นส์
นางคลิสติน ลาม ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Reed MIDEM ซึ่งเป็นบริษัทจัดงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้ชื่อ MIPIM ASIA เปิดเผยว่า เดิม MIDEM ทำธุรกิจค่ายเพลงและจัดนิทรรศการต่างๆ หลังจากนั้นในปี 1990 ได้ขยายไลน์จัดงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ในแถบยุโรปภายใต้ชื่อ MIPIM จนกระทั้งปัจจุบันซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
ในปี 2549 จึงได้ขยายมาจัดที่ ฮ่องกงเป็นครั้งแรก โดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงานกว่า 12,000 คน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอสังหาฯและธุรกิจที่เกี่ยวข้องถึง 80% ต่างจากงานอื่นๆที่มีประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ MIPIM ยังให้รหัสผ่านเพื่อเข้าดูข้อมูลเชิงลึกของสมาชิกผู้ร่วมงาน รวมไปถึงบทวิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจอสังหฯ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โดยบริษัทที่เข้าร่วมเช่น บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, สถาบันการเงิน, สถาปนิก, ที่ปรึกษากฎหมาย, รัฐบาล, ที่ปรึกษาบัญชี, โรงแรม, สปา กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักลงทุนจากทั่วโลก ประกอบด้วย กองทุน, บริษัทประกันหรือสถาบันการเงินที่ต้องการหาแหล่งลงทุน, บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการสำนักงานให้เช่าในภูมิภาคเอเชีย กลุ่มธุรกิจค้าปลีก, โรงแรมและสปาต่าง ที่ต้องการทำเลในการลงทุน รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในประเภทอื่น โดยเฉพาะการลงทุนจากกองทุนต่างๆ ที่ให้น้ำหนักในการลงทุนภาคในภาคอสังหาฯ จาก 2-3% ในอดีตมาเป็น 7-10% ของพอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน โดยจากสถิติการขายในแต่ละครั้งของการจัดงาน จะมีการซื้อ-ขายหรือการลงทุนประมาณ 26 ล้านเหรียญสหรัฐ/โครงการ
นางคลิสติน กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนอสังหาฯในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า แม้จะเกิดวิกฤตซัพไพรม์ในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเอเชียมากนัก เนื่องจากนักลงทุนมาจากทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป ตะวันออกกลาง ซึ่งจากการสอบถามนักลงทุน 561 ราย ระบุว่า ประเทศที่น่าลงทุนเป็น 3 อันดับแรกในภูมิภาคนี้ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนามและไทยเป็นอันดับ 3
โดยให้เหตุผลว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างโปร่งใส นักลงทุนสามารถตรวจสอบผู้ซื้อในแต่ละโครงการได้ และเป็นตลาดการลงทุนที่มีเสถียรภาพแล้ว ส่วนเวียดนามเป็นประเทศเปิดใหม่ มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แม้ว่าราคาอสังหาฯจะถีบตัวสูงขึ้นมากแต่มีเฉพาะในโฮจิมินเท่านั้น ส่วนเมืองอื่นราคายังถูกอยู่ ส่วนประเทศไทยนั้น ราคาที่ดินต่ำกว่าในภูมิภาคเดียวกัน ประชาชนมีความเป็นกันเอง แม้ว่าการเมืองจะไม่นิ่ง แต่นักลงทุนที่คลุกคลีอยู่ในตลาดนี้จะทราบดีว่าเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น การเมืองเปลี่ยนตลอด แต่หากลงทุนระยะยาวนั้นคุ้มค่า
สำหรับงาน MIPIM ASIA ในปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 19-21 พ.ย.51 ณ ฮ่องกง คอนเวนชั่น แอนด์ เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ผู้เข้าร่วมงานจะต้องเสียค่าเข้างานรายละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ส่วนผู้ที่ออกบูธจะคิดราคาบูธ ขนาดมาตรฐาน 3x3 เมตร ราคา 4,500 ยูโร มีพื้นที่จัดงานทั้งหมด 8,000 ตร.ม.
“ผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับ MIPIM เป็นการประชาสัมพันธ์บริษัทให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล รวมถึงได้พันธมิตรทางธุรกิจทั้งจากทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียและยุโรป มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่ม และที่สำคัญนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการลงทุนในระยะยาวและไม่ได้ต้องการเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัท ในปีนี้ตั้งเป้าบริษัทเข้ารวมงานจากไทยอย่างน้อย 9 ราย จากปีที่แล้วเข้าร่วม 7 ราย เช่น กลุ่มทีซีซี แลนด์, บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัทไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน), เกสร พลาซ่า และสปาซิกส์เซ็นส์
