บิ๊กโฟร์รัฐวิสาหกิจขาดทุนตลอดกาลชวดเงินอุดหนุนบริการสาธารณะชดเชย หลังติดเกณฑ์กฎหมายบังคับให้ต้องจัดทำแผนให้เสร็จ 10 เดือนก่อนเริ่มปีงบประมาณ
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 นี้รัฐบาลยังไม่สามารถจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2551 ให้แก่ รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในข่ายได้รับเงินอุดหนุน เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ทัน เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการนำส่งเรื่องขอเงินอุดหนุน และการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งไม่สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ
ทั้งนี้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2551 เป็นต้นมา มีข้อกำหนดว่า รัฐวิสาหกิจที่ต้องการยื่นเรื่องของเงินอุดหนุนในบริการสาธารระต่างๆ ที่ได้ทำไปเพื่อสังคม แต่มีผลให้เกิดการขาดทุนต่อการดำเนินงานนั้น ในแต่ละปีงบประมาณจะต้องส่งเรื่องให้กระทรวงต้นสังกัด และนำส่งคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ เพื่อพิจารณาไม่น้อยกว่า 10 เดือนก่อนเริ่มปีงบประมาณ หลังจากนั้น คณะกรรมการจะส่งให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และรัฐวิสาหกิจต้องทำเรื่องของบประมาณจากสำนักงบฯ โดยต้องมีการเซ็นสัญญาระหว่างรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการ และสำนักงบประมาณ เพื่อให้การใช้เงินอุดหนุนเป็นไปตามที่เสนอมา
"สำหรับปีนี้ได้มีการเริ่มจัดทำปฏิทินงบประมารของปี 2552 แล้ว และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ในขณะที่องค์ประกอบของคณะกรรมการเงินอุดหนุนสาธารณะและการประชุมยังไม่เรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่สามารถพิจาณาเงินอุดหนุนตามคำขอของรัฐวิสาหกิจได้ทัน จึงต้องใช้วิธีการจัดสรรเงินงบประมาณตามปกติของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ตามรูปแบบเดิมไปก่อน แต่คาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนได้ตามระเบียบในปีงบประมาณ 2553 เป็นครั้งแรกได้" แหล่งข่าวกล่าว
ภายใต้ระเบียบดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการบัญชี เศรษฐศาสตร์ การเงิน หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งไม่เกิน 3 คนเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อพิจารณากำหนดวงเงินอุดหนุนแก่รัฐวิสาหกิจที่ต้องการ
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในข่ายได้รับเงินอุดหนุน เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะได้รับการชดเชยจากกระทรวงการคลังในรูปเงินชดเชยการขาดทุน เช่น ขสมก.ได้รับเงินอุดหนุนค่าน้ำมัน ปี 2535 วงเงิน 935 ล้านบาท ร.ฟ.ท.ได้รับชดเชยผลขาดทุน 3,870 ล้านบาท การประปาส่วนภูมิภาค ชดเชยส่วนต่างราคา 964 ล้านบาท อุดหนุนการลงทุน 1,894 ล้านบาท และการเคหะแห่งชาติ 6,592 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อรัฐบาลมีแผนให้เงินอุดหนุนค่าบริการสาธารณะจะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละแห่ง
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 นี้รัฐบาลยังไม่สามารถจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2551 ให้แก่ รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในข่ายได้รับเงินอุดหนุน เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ทัน เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการนำส่งเรื่องขอเงินอุดหนุน และการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งไม่สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ
ทั้งนี้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2551 เป็นต้นมา มีข้อกำหนดว่า รัฐวิสาหกิจที่ต้องการยื่นเรื่องของเงินอุดหนุนในบริการสาธารระต่างๆ ที่ได้ทำไปเพื่อสังคม แต่มีผลให้เกิดการขาดทุนต่อการดำเนินงานนั้น ในแต่ละปีงบประมาณจะต้องส่งเรื่องให้กระทรวงต้นสังกัด และนำส่งคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ เพื่อพิจารณาไม่น้อยกว่า 10 เดือนก่อนเริ่มปีงบประมาณ หลังจากนั้น คณะกรรมการจะส่งให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และรัฐวิสาหกิจต้องทำเรื่องของบประมาณจากสำนักงบฯ โดยต้องมีการเซ็นสัญญาระหว่างรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการ และสำนักงบประมาณ เพื่อให้การใช้เงินอุดหนุนเป็นไปตามที่เสนอมา
"สำหรับปีนี้ได้มีการเริ่มจัดทำปฏิทินงบประมารของปี 2552 แล้ว และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ในขณะที่องค์ประกอบของคณะกรรมการเงินอุดหนุนสาธารณะและการประชุมยังไม่เรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่สามารถพิจาณาเงินอุดหนุนตามคำขอของรัฐวิสาหกิจได้ทัน จึงต้องใช้วิธีการจัดสรรเงินงบประมาณตามปกติของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ตามรูปแบบเดิมไปก่อน แต่คาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนได้ตามระเบียบในปีงบประมาณ 2553 เป็นครั้งแรกได้" แหล่งข่าวกล่าว
ภายใต้ระเบียบดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการบัญชี เศรษฐศาสตร์ การเงิน หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งไม่เกิน 3 คนเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อพิจารณากำหนดวงเงินอุดหนุนแก่รัฐวิสาหกิจที่ต้องการ
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในข่ายได้รับเงินอุดหนุน เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะได้รับการชดเชยจากกระทรวงการคลังในรูปเงินชดเชยการขาดทุน เช่น ขสมก.ได้รับเงินอุดหนุนค่าน้ำมัน ปี 2535 วงเงิน 935 ล้านบาท ร.ฟ.ท.ได้รับชดเชยผลขาดทุน 3,870 ล้านบาท การประปาส่วนภูมิภาค ชดเชยส่วนต่างราคา 964 ล้านบาท อุดหนุนการลงทุน 1,894 ล้านบาท และการเคหะแห่งชาติ 6,592 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อรัฐบาลมีแผนให้เงินอุดหนุนค่าบริการสาธารณะจะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละแห่ง
