ราคาหุ้น CIG วิ่งไม่หยุด รับข่าวออร์เดอร์แคเรียร์ หลังบริษัทผ่านการทดสอบและผลิตคอยล์ให้ประเดิมล็อตแรก 500 ล้านบาท คาดมีเข้ามาอีกเพียบ พร้อมมีลูกค้าใหม่อย่างฟูจิสึหนุน โบรกฯ หลายสำนักประสานเสียง "ซื้อลงทุน" ที่ราคาเหนือ 5 บาท
ราคาหุ้น CIG หรือ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ปรับเพิ่มขึ้าอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว แรงซื้อที่มีเข้ามา ทำให้หุ้นนี้กลายเป็นหุ้นนำตลาดของตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดและราคาหุ้นก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัด หลังผู้บริหารคาดการการเติบโตของรายได้ปีนี้ทั้งปีแบบก้าวกระโดด เนื่องจากผลดีหลายด้าน ที่สำคัญการได้ลูกค้าแคร์เรียร์เข้ามา จะทำให้เกิดรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว เพราะเป็นสัญญา 5 ปี ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก เพราะแคร์เรียร์มีลูกค้าทั่วโลก เชื่อว่าจะมีคำสั่งซื้อล็อตใหญ่เข้ามาอีกหลายล็อต ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัท ทำให้บริษัทปรับสัดส่วนรายได้จากในและต่างประเทศ อย่างละ 50 % และการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
ราคาหุ้น CIG ได้รับผลดีมาตั้งแต่ปลายปี 50 แล้ว เพราะได้ปรับขึ้นไปเฉียด 6 บาท ขณะที่ใบสำคัญแสดงสิทธิ (CIG -W1) ก็ไม่น้อยหน้าหุ้นแม่ เพราะราคาต่างปรับเพิ่มในทิศทางเดียวกัน และแรงซื้อวอร์แรนต์กลับได้รับความสนใจมากกว่า
เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น CIG และ CIG -W1 ต่างปรับเพิ่มตามกัน โดยเฉพาะเมื่อ 31 มีนาคม 51 พบว่าหุ้นแม่ บวกไป 1.35 บาท โดยปิดที่ 6.35 บาท หรือเพิ่มขึ้น 27% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 172.50 ล้านบาท ขณะราคาวอร์แรนต์ ปิดที่ 4.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.16 บาท คิดเป็น 39.46 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 409.78 ล้านบาท หลังจากที่ราคาหุ้นดังกล่าวบวกให้เห็นประปรายมาแล้ว เมื่อ 3 เม.ย. ราคาหุ้น CIG -W1 ปิดที่ 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.58 บาท คิดเป็น 15.28 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 390.96 ล้านบาท ขณะที่ CIG ปิดที่ 7.35 บาท เพิ่มขึ้น 1.35 บาท คิดเป็น 22.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 169.18 ล้านบาท
ราคาหุ้นของบริษัทน่าจะเป็นผลมาจากที่หลายโบรกเกอร์ให้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีอนาคตและให้ผลตอบแทนดีกับผู้ถือหุ้น ซึ่งหุ้นหลายตัวที่เทรดในตลาด mai ก็พบว่ามีผลการดำเนินงานที่ดี และ CIG เองก็โชว์ผลงานทะยานไปกว่า 600 จุดในงวดสิ้นปี 50 ซึ่งโบรกเกอร์หลายสำนัก ต่างให้ราคาหุ้นของ CIG ไว้สูงกว่าราคาที่เทรดกันในแต่ละวันด้วย ขณะที่หุ้นที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ต่างก็ล้วนซบเซา และผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้ความต้องการใช้คอยล์สูงขึ้น
บล.พัฒนสิน ได้ปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ" CIG และลดมูลค่าพื้นฐานจากเดิม 6% เหลือ 5.30 บาท เนื่องจากปรับประมาณการปี 51-52 ลง แต่มองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรสุทธิแบบก้าวกระโดดในปีนี้ หลังจากรับออร์เดอร์จากแคร์เรียร์ และได้ลูกค้าใหม่อย่างฟูจิสึ รวมทั้งการหาลูกค้าใหม่ในญี่ปุ่นและเกาหลี จะทำให้ยอดขายเติบโต ซึ่งแนะนำซื้อตามมูลค่าพื้นฐานหุ้นละ 5.30 บาท จากราคาเดิม 4.66 บาท
ขณะที่ บล.แอ๊ดคินซัน แนะนำ"ซื้อ" หุ้น CIG ที่ราคาหุ้นละ 4.64 บาท และราคาเป้าหมายที่ 5.44 บาท เนื่องจากมองว่า CIG ได้รับผลดีในช่วงไฮซีซั่น เพราะบริษัทผลิตสินค้าที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ และจากการเกิดภาวะโลกร้อน ทำให้ได้รับอานิสงส์ จากการผลดังกล่าว รวมทั้ง ผลดีจากการรับจ้างผลิตคอยล์ให้กับแคร์เรียร์ทั่วโลก และยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าสิงคโปร์ในการสร้างโรงงานใหม่ ทำให้ลูกค้าต่างชาติที่จะมีมากขึ้นและการตั้งราคาแบบ COST PLUS จะทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องราคา และส่งผลดีต่อธุรกิจในระระยาว
บล.เกียรตินาคิน แนะนำซื้อที่ราคาจาก 4.70 บาท เป็นราคาตามมูลค่าพื้นฐาน 6.132 บาท จากผลดีที่เกิดขี้นตามที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกียรตินาคินมั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัท คาดกำไรสุทธิและยอดขายเพิ่มสูง ขณะที่ผู้บริหารคาดการเติบโตถึง 100%
ราคาหุ้น CIG หรือ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ปรับเพิ่มขึ้าอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว แรงซื้อที่มีเข้ามา ทำให้หุ้นนี้กลายเป็นหุ้นนำตลาดของตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดและราคาหุ้นก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัด หลังผู้บริหารคาดการการเติบโตของรายได้ปีนี้ทั้งปีแบบก้าวกระโดด เนื่องจากผลดีหลายด้าน ที่สำคัญการได้ลูกค้าแคร์เรียร์เข้ามา จะทำให้เกิดรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว เพราะเป็นสัญญา 5 ปี ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก เพราะแคร์เรียร์มีลูกค้าทั่วโลก เชื่อว่าจะมีคำสั่งซื้อล็อตใหญ่เข้ามาอีกหลายล็อต ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัท ทำให้บริษัทปรับสัดส่วนรายได้จากในและต่างประเทศ อย่างละ 50 % และการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
ราคาหุ้น CIG ได้รับผลดีมาตั้งแต่ปลายปี 50 แล้ว เพราะได้ปรับขึ้นไปเฉียด 6 บาท ขณะที่ใบสำคัญแสดงสิทธิ (CIG -W1) ก็ไม่น้อยหน้าหุ้นแม่ เพราะราคาต่างปรับเพิ่มในทิศทางเดียวกัน และแรงซื้อวอร์แรนต์กลับได้รับความสนใจมากกว่า
เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น CIG และ CIG -W1 ต่างปรับเพิ่มตามกัน โดยเฉพาะเมื่อ 31 มีนาคม 51 พบว่าหุ้นแม่ บวกไป 1.35 บาท โดยปิดที่ 6.35 บาท หรือเพิ่มขึ้น 27% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 172.50 ล้านบาท ขณะราคาวอร์แรนต์ ปิดที่ 4.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.16 บาท คิดเป็น 39.46 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 409.78 ล้านบาท หลังจากที่ราคาหุ้นดังกล่าวบวกให้เห็นประปรายมาแล้ว เมื่อ 3 เม.ย. ราคาหุ้น CIG -W1 ปิดที่ 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.58 บาท คิดเป็น 15.28 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 390.96 ล้านบาท ขณะที่ CIG ปิดที่ 7.35 บาท เพิ่มขึ้น 1.35 บาท คิดเป็น 22.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 169.18 ล้านบาท
ราคาหุ้นของบริษัทน่าจะเป็นผลมาจากที่หลายโบรกเกอร์ให้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีอนาคตและให้ผลตอบแทนดีกับผู้ถือหุ้น ซึ่งหุ้นหลายตัวที่เทรดในตลาด mai ก็พบว่ามีผลการดำเนินงานที่ดี และ CIG เองก็โชว์ผลงานทะยานไปกว่า 600 จุดในงวดสิ้นปี 50 ซึ่งโบรกเกอร์หลายสำนัก ต่างให้ราคาหุ้นของ CIG ไว้สูงกว่าราคาที่เทรดกันในแต่ละวันด้วย ขณะที่หุ้นที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ต่างก็ล้วนซบเซา และผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้ความต้องการใช้คอยล์สูงขึ้น
บล.พัฒนสิน ได้ปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ" CIG และลดมูลค่าพื้นฐานจากเดิม 6% เหลือ 5.30 บาท เนื่องจากปรับประมาณการปี 51-52 ลง แต่มองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรสุทธิแบบก้าวกระโดดในปีนี้ หลังจากรับออร์เดอร์จากแคร์เรียร์ และได้ลูกค้าใหม่อย่างฟูจิสึ รวมทั้งการหาลูกค้าใหม่ในญี่ปุ่นและเกาหลี จะทำให้ยอดขายเติบโต ซึ่งแนะนำซื้อตามมูลค่าพื้นฐานหุ้นละ 5.30 บาท จากราคาเดิม 4.66 บาท
ขณะที่ บล.แอ๊ดคินซัน แนะนำ"ซื้อ" หุ้น CIG ที่ราคาหุ้นละ 4.64 บาท และราคาเป้าหมายที่ 5.44 บาท เนื่องจากมองว่า CIG ได้รับผลดีในช่วงไฮซีซั่น เพราะบริษัทผลิตสินค้าที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ และจากการเกิดภาวะโลกร้อน ทำให้ได้รับอานิสงส์ จากการผลดังกล่าว รวมทั้ง ผลดีจากการรับจ้างผลิตคอยล์ให้กับแคร์เรียร์ทั่วโลก และยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าสิงคโปร์ในการสร้างโรงงานใหม่ ทำให้ลูกค้าต่างชาติที่จะมีมากขึ้นและการตั้งราคาแบบ COST PLUS จะทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องราคา และส่งผลดีต่อธุรกิจในระระยาว
บล.เกียรตินาคิน แนะนำซื้อที่ราคาจาก 4.70 บาท เป็นราคาตามมูลค่าพื้นฐาน 6.132 บาท จากผลดีที่เกิดขี้นตามที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกียรตินาคินมั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัท คาดกำไรสุทธิและยอดขายเพิ่มสูง ขณะที่ผู้บริหารคาดการเติบโตถึง 100%