บสท.เผยผลการดำเนินงานปี 50 ปรับโครงสร้างหนี้ได้ 15,011 ล้าน รวมตั้งแต่ปี 47 มียอดจัดเก็บหนี้และขาย NPA ได้กว่า 137,948 ล้าน ตั้งเป้าปีนี้รุกตามเก็บหนี้กว่า 16,000 ล้านบาท และขาย NPA กว่า 10,000 ล้านบาท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยว่า บสท.ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันผู้โอนให้มีข้อยุติทั้งหมด 15,233 ราย มูลค่าทางบัญชี 775,047 ล้านบาท โดยเป็นการยุติด้วยการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 6,779 ราย มูลค่าทางบัญชี 468,412 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60.44 ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจำนวน 8,454 ราย มูลค่าทางบัญชี 306,635 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39.56 ยุติด้วยการบังคับหลักประกัน ทั้งนี้ สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2550 บสท.ได้รับชำระหนี้เป็นเงินสดและการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้มูลค่าสะสมรวม 168,033 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65.76 ของมูลค่าแผนการปรับโครงสร้างหนี้
นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บสท.มีรายรับจากการบริหารงานตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงสิ้นปี 2550 รวมทั้งสิ้น 137,948 ล้านบาท เป็นเงินรับจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 112,016 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 56.42 ของแผนเงินสดรับชำระ รายรับอีกส่วนเป็นเงินสดรับจากการขายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 25,931 ล้านบาท
ทั้งนี้ เฉพาะปี 2550 บสท.ได้รับชำระเป็นเงินสดตามแผนปรับโครงสร้างหนี้รวม 15,011 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้คงเหลือตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นปี 2550 มูลค่ารวม 86,524 ล้านบาท รายรับข้างต้นส่วนใหญ่มาจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บสท. ประสบความสำเร็จในการช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับไปดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและนำเงินมาชำระหนี้ได้ตามแผน อย่างไรก็ดี บสท. ได้มีการติดตามดูแลลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ณ สิ้นปี 2550 บสท. มีลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระเกินกว่า 90 วัน เพียงร้อยละ 2.04 ของแผนการชำระหนี้ที่เป็นเงินสดตามสัญญาที่ได้รับอนุมัติ และเฉพาะในปี 2550 บสท. สามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายได้รวมทั้งสิ้น 8,573 ล้านบาท โดยบสท. ประมาณการว่าทรัพย์สินรอการขายคงเหลือจากที่ได้จำหน่ายแล้ว เมื่อรวมกับที่จะได้รับเพิ่มเติมจากการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้และการบังคับหลักประกันต่อไป จะมีมูลค่ารวมประมาณ 119,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2551 บสท. ได้ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงานว่าจะมีรายรับจากการตามเก็บหนี้กว่า 16,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายในการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไว้จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ไปไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มเติมอีก 22,000 ล้านบาท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยว่า บสท.ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันผู้โอนให้มีข้อยุติทั้งหมด 15,233 ราย มูลค่าทางบัญชี 775,047 ล้านบาท โดยเป็นการยุติด้วยการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 6,779 ราย มูลค่าทางบัญชี 468,412 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60.44 ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจำนวน 8,454 ราย มูลค่าทางบัญชี 306,635 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39.56 ยุติด้วยการบังคับหลักประกัน ทั้งนี้ สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2550 บสท.ได้รับชำระหนี้เป็นเงินสดและการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้มูลค่าสะสมรวม 168,033 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65.76 ของมูลค่าแผนการปรับโครงสร้างหนี้
นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บสท.มีรายรับจากการบริหารงานตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงสิ้นปี 2550 รวมทั้งสิ้น 137,948 ล้านบาท เป็นเงินรับจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 112,016 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 56.42 ของแผนเงินสดรับชำระ รายรับอีกส่วนเป็นเงินสดรับจากการขายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 25,931 ล้านบาท
ทั้งนี้ เฉพาะปี 2550 บสท.ได้รับชำระเป็นเงินสดตามแผนปรับโครงสร้างหนี้รวม 15,011 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้คงเหลือตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นปี 2550 มูลค่ารวม 86,524 ล้านบาท รายรับข้างต้นส่วนใหญ่มาจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บสท. ประสบความสำเร็จในการช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับไปดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและนำเงินมาชำระหนี้ได้ตามแผน อย่างไรก็ดี บสท. ได้มีการติดตามดูแลลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ณ สิ้นปี 2550 บสท. มีลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระเกินกว่า 90 วัน เพียงร้อยละ 2.04 ของแผนการชำระหนี้ที่เป็นเงินสดตามสัญญาที่ได้รับอนุมัติ และเฉพาะในปี 2550 บสท. สามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายได้รวมทั้งสิ้น 8,573 ล้านบาท โดยบสท. ประมาณการว่าทรัพย์สินรอการขายคงเหลือจากที่ได้จำหน่ายแล้ว เมื่อรวมกับที่จะได้รับเพิ่มเติมจากการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้และการบังคับหลักประกันต่อไป จะมีมูลค่ารวมประมาณ 119,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2551 บสท. ได้ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงานว่าจะมีรายรับจากการตามเก็บหนี้กว่า 16,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายในการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไว้จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ไปไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มเติมอีก 22,000 ล้านบาท
