xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ เร่งปั่นค่าฟี หวังแชร์-รายได้เพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บล.บัวหลวง ลุยเพิ่มลูกค้าสถาบันในประเทศ-ต่างประเทศมากขึ้น จับมือมอร์แกนฯ พา บจ.ไทยโรดโชว์ต่างประเทศ ด้านแบงก์กรุงเทพรุกแนะนำลูกค้ามากขึ้น-เปิดสาขาในแบงก์ เชื่อดันบัญชีลูกค้าเพิ่มเป็น 2.5 หมื่นล้านบาทปีนี้ พร้อมหวังมาร์เกตแชร์เฉลี่ย 4.3% ขณะที่ บล.กิมเอ็ง เผยมีแผนจัดตั้ง บลจ. ใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท พร้อมนำเงินทุนบริษัท 500 - 1,000 ล้านบาท ให้กองทุนดังกล่าวเข้าบริหาร คาดกลางปีสามารถจัดตั้งได้ หวังค่านายหน้าดีขึ้นกว่าปีก่อนหากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพ

นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง จำกัด (มหาชน)หรือ BLS เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทจะมีการทำการตลาดร่วมกับ มอร์แกน สแตนเลย์ มากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศหลังจากที่ทำสัญญาการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในลักษณะคู่ค้า (Exclusive Partner) โดยการพาบริษัทไปนำเสนอข้อมูลในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้พากลุ่มบริษัทปตท. 5 แห่ง ไปโรดโชว์ลอนดอน ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดี ซึ่งมอร์แกน สแตนเลย์ นั้นให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง มีการจัดตั้งรัฐบาล และราคาหุ้นไทยถูก และในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม บริษัทพาบริษัทจดทะเบียน 6-8 แห่งไปโรดโชว์ที่ประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ ลอนดอน นิวยอร์ก

รวมถึงการที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาบริการแนะนำลูกค้า กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL นั้นซึ่งในช่วงต้นปีนี้ก็มีการแนะนำลูกค้าให้กับบริษัทจำนวนมาก โดยคาดว่าในปีนี้จะทำให้บริษัทมีบัญชีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 บัญชี จากปีที่ผ่านมาที่มีประมาณ 19,000 บัญชี และบริษัทจะเปิดสาขาขนาดเล็กเพิ่มขึ้นในสาขาของธนาคารกรุงเทพ 5 แห่ง คือ จังหวัดนครราชสีมา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ระยอง อยุธยา

ดังนั้น บริษัทจึงตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)เฉลี่ยปีนี้ 4.30% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 3.68% โดยตั้งแต่ปีมาร์เกตแชร์ของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.8-3.9% จึงเชื่อว่าหากบริษัทได้ร่วมมือกับมอร์แกนฯและธนาคารกรุงเทพ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เชื่อว่าในช่วงไตรมาส4/51 มาร์เกตแชร์ของบริษัทจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 5% และคาดขนาดกองทุนส่วนบุคคลและสำรองเลี้ยงชีพปีนี้เพิ่มเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทจากปีก่อน 1.2 หมื่นล้านบาท

นายญาณศักดิ์ กล่าวว่าบริษัทจะพยายามรักษามาร์เกตแชร์อนุพันธ์อยู่ที่ 7% จากที่ในปีนี้จะมีบริษัทเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้น จากการที่ตลาดอนุพันธ์ จะมีการออกสินค้าใหม่อีก 1-2 สินค้า ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุน และขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ประกอบธุรกิจการให้บริการกู้ยืมหลักทรัพย์ (SBL)และคาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงไตรมาส2/51 และจะเริ่มดำเนินธุรกิจดังกล่าว

สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ ในปีนี้ บริษัทมีงานในมือจำนวน 8 ดีล มูลค่าระดมทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานด้านการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) การเพิ่มทุนเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไป (PO) และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) โดยคาดว่าปีนี้จะรับรู้รายได้จากงานดังกล่าว 4 ดีล รวมถึงบริษัทยังมีงานที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ (M&A)จำนวนมาก

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวความคิดเบื้องต้นที่จะจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกอง
ทุน (บลจ.) ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยจะนำเงินทุนของบริษัทประมาณ 500 - 1,000 ล้านบาทให้กองทุนดังกล่าวบริหาร ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบ รวมทั้งหาผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถมารับผิดชอบ ซึ่งคาดว่าประมาณกลางปีถึงครึ่งปีหลังจะสามารถจัดตั้งได้

สำหรับ ค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปีที่แล้วที่ลดลงกว่า 38 ล้านบาทนั้น คาดว่าปีนี้จะดีขึ้น หากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ได้
ตามเป้าหมาย ขณะที่การแก้ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐฯ สามารถหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดได้ ส่วนงาน IB ในปีนี้เชื่อมั่นว่าจะมีมากกว่าปีก่อนที่ค่อนข้างเลวร้าย ขณะที่รายได้หลักในปีนี้ยังคงมาจากค่านายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์

ทั้งนี้ บริษัทมีงานอยู่ในมือแล้ว ดังนี้ M&A จำนวน 8-10 ดีล Property Fund (REIT) จำนวน 2-3 ดีล Initial Public Offering (IPO)/Added on Public Offering จำนวน 10-15 ดีล Equity/Private Placement จำนวน 1-2 ดีล Fixed Income จำนวน 2-3 ดีล และFinancial Advisory (FA) - Others จำนวน 2-4 ดีล

อย่างไรก็ดี KEST มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2550 เท่ากับ 0.88 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผล 89% ของกำไรสุทธิ โดยจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกในอัตรา 0.68 บาทต่อหุ้น เพิ่มเติมจากที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.20 บาทต่อหุ้น ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้น KEST วานนี้ (19มี.ค.) ปิดที่ 23.30 บาท ลดลง 0.50 บาท คิดเป็น 2.10% มูลค่าการซื้อขาย 83.55 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น