กคช. เตรียมชงรัฐบาลใหม่ของบพยุงดอกเบี้ยเพิ่มอีก 30,000บาทต่อหน่วย อ้างแก้ปัญหาการปรับราคาขายบ้านเอื้ออาทร เหตุดอกเบี้ยปรับตัวแตะ6% ส่งผลกคช.ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยใหม่ต่อเดือน 2,400 บาท พร้อมเสนอขอขยายฐานรายได้ต่อครัวเรือนจาก 25,000 บาทต่อเดือนเป็น 30,000 บาทต่อเดือน
นายพิทยา เจริญวรรณ รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทร ภายหลังรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศว่า ได้เตรียมเสนอแผนและแนวทางการแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินและการเพิ่มอำนาจการซื้อของประชาชน รวมถึงแนวทางการลดต้นทุนและการจัดการราคาขายบ้านเอื้ออาทรให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรมีต้นทุนด้านดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นจาก4% เป็น 6% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ต้นทุนบ้านเอื้ออาทรต่อหน่วยปรับขึ้นจากเดิมหน่วยละ 420,000 บาทเพิ่มเป็น 470,000 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ หากต้องการที่จะขายบ้านเอื้ออาทรในราคาเดิม 390,000 บาต่อหน่วย ทางกคช. จะต้องหาเงินทุนเพื่อเข้ามาพยุงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับเดิม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ซื้อบ้านเอื้ออาทรให้สามารถซื้อบ้านได้ในราคาคงเดิม
“ ถ้าหากจะใช้วิธีการปรับราคาขายบ้านตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ประชาชนไม่สามารถซื้อบ้านได้ ส่วนรายใหม่ที่จะเข้ามาซื้อก็ไม่มีกำลังซื้อได้มากพอ ทำให้เกิดปัญหาการพิจารณาปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน และเกิดการทิ้งบ้านเอื้ออาทรเพิ่มมากขึ้น เพราะผ่อนส่งค่างวดไม่ไหว”
อนึ่ง การหาเงินอุดหนุนเพิ่มจากรัฐบาลใหม่เพื่อแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทรอีก 30,000บาทต่อหน่วยต่อปี ซึ่งงบดังกล่าวจะนำมาใช้สนับสนุนในส่วนของต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมา จากเดิมที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน 4% คิดเป็นเงิน 1,500 บาท เพิ่มเป็น6% ต่อเดือนหรือประมาณ 2,400 บาท ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อบ้านเอื้ออาทรต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อปีประมาณ 28,000 บาท ซึ่งเมื่อคำนวณวงเงินทั้งหมดที่ต้องใช้ในการพยุงอัตราดอกเบี้ยในปี51 จากจำนวนบ้านเอื้ออาทรที่มีการก่อสร้างเสร็จแล้ว 78,000 หน่วยคิดเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าประมาณ 21ล้านบาท
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับขยายฐานลูกค้าของบ้านเอื้ออาทรให้กว้างขึ้น กคช.ยังมีแผนจะเสนอให้มีการขยายฐานรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากเดิม 25,000 บาทต่อเดือนเป็น30,000บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเพิ่มกำลังซื้อของลูกค้าและกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการผ่อนส่งด้วย
นายพิทยา กล่าวว่า ปัจจุบัน กคช. มีภาระหนี้ที่เกิดจากการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการพัฒนาโครงการในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้และนำไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในโครงการดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งกคช.มีแผนจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางเพื่อขายให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น อาคารพาณิชย์ และอาศัย เป็นต้น โดยจะนำที่ดินสะสมที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 8,000 กว่าไร่ นับรวมที่ดินที่ซื้อเข้ามาเพื่อก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรและที่ดินเดิม
โดยจะคัดเลือกที่ดินที่ศักยภาพมาดำเนินการพัฒนาเป็นโครงการเคหะชุมชน โดยอาจจะร่วมกับเอกชนในการพัฒนาโครงการ หากมีบริษัทเอกชนเข้ามาสนใจที่ดินของการเคหะฯ หรือ กคช.อาจจะพัฒนาโครงการเอง นอกจากนี้ที่ดินที่ การเคหะฯเคยมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ที่ดินที่อยู่ในทำเลศักยภาพ เช่นแนวรถไฟฟ้า หรือในเส้นทางที่จะมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต กคช.ก็จะมีการรื้อแผนการพัฒนาดังกล่าวใหม่อีกรอบเพื่อสร้างโครงการและสร้างรายให้แก่องค์กร
นายพิทยา เจริญวรรณ รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทร ภายหลังรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศว่า ได้เตรียมเสนอแผนและแนวทางการแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินและการเพิ่มอำนาจการซื้อของประชาชน รวมถึงแนวทางการลดต้นทุนและการจัดการราคาขายบ้านเอื้ออาทรให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรมีต้นทุนด้านดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นจาก4% เป็น 6% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ต้นทุนบ้านเอื้ออาทรต่อหน่วยปรับขึ้นจากเดิมหน่วยละ 420,000 บาทเพิ่มเป็น 470,000 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ หากต้องการที่จะขายบ้านเอื้ออาทรในราคาเดิม 390,000 บาต่อหน่วย ทางกคช. จะต้องหาเงินทุนเพื่อเข้ามาพยุงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับเดิม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ซื้อบ้านเอื้ออาทรให้สามารถซื้อบ้านได้ในราคาคงเดิม
“ ถ้าหากจะใช้วิธีการปรับราคาขายบ้านตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ประชาชนไม่สามารถซื้อบ้านได้ ส่วนรายใหม่ที่จะเข้ามาซื้อก็ไม่มีกำลังซื้อได้มากพอ ทำให้เกิดปัญหาการพิจารณาปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน และเกิดการทิ้งบ้านเอื้ออาทรเพิ่มมากขึ้น เพราะผ่อนส่งค่างวดไม่ไหว”
อนึ่ง การหาเงินอุดหนุนเพิ่มจากรัฐบาลใหม่เพื่อแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทรอีก 30,000บาทต่อหน่วยต่อปี ซึ่งงบดังกล่าวจะนำมาใช้สนับสนุนในส่วนของต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมา จากเดิมที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน 4% คิดเป็นเงิน 1,500 บาท เพิ่มเป็น6% ต่อเดือนหรือประมาณ 2,400 บาท ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อบ้านเอื้ออาทรต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อปีประมาณ 28,000 บาท ซึ่งเมื่อคำนวณวงเงินทั้งหมดที่ต้องใช้ในการพยุงอัตราดอกเบี้ยในปี51 จากจำนวนบ้านเอื้ออาทรที่มีการก่อสร้างเสร็จแล้ว 78,000 หน่วยคิดเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าประมาณ 21ล้านบาท
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับขยายฐานลูกค้าของบ้านเอื้ออาทรให้กว้างขึ้น กคช.ยังมีแผนจะเสนอให้มีการขยายฐานรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากเดิม 25,000 บาทต่อเดือนเป็น30,000บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเพิ่มกำลังซื้อของลูกค้าและกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการผ่อนส่งด้วย
นายพิทยา กล่าวว่า ปัจจุบัน กคช. มีภาระหนี้ที่เกิดจากการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการพัฒนาโครงการในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้และนำไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในโครงการดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งกคช.มีแผนจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางเพื่อขายให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น อาคารพาณิชย์ และอาศัย เป็นต้น โดยจะนำที่ดินสะสมที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 8,000 กว่าไร่ นับรวมที่ดินที่ซื้อเข้ามาเพื่อก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรและที่ดินเดิม
โดยจะคัดเลือกที่ดินที่ศักยภาพมาดำเนินการพัฒนาเป็นโครงการเคหะชุมชน โดยอาจจะร่วมกับเอกชนในการพัฒนาโครงการ หากมีบริษัทเอกชนเข้ามาสนใจที่ดินของการเคหะฯ หรือ กคช.อาจจะพัฒนาโครงการเอง นอกจากนี้ที่ดินที่ การเคหะฯเคยมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ที่ดินที่อยู่ในทำเลศักยภาพ เช่นแนวรถไฟฟ้า หรือในเส้นทางที่จะมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต กคช.ก็จะมีการรื้อแผนการพัฒนาดังกล่าวใหม่อีกรอบเพื่อสร้างโครงการและสร้างรายให้แก่องค์กร
