“โลหะกิจ เม็ททอล” เทรดวันแรกน่าเป็นห่วงปัจจัยลบจากต่างประเทศ ยังกระหน่ำตลาดหุ้น ผสมโรงไอพีโอขายไม่หมด ที่ปรึกษาฝากความหวังกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป หวังรีบาวนด์ ดันตลาดหุ้นเอเชียฟื้น
สถานการณ์การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของหุ้นบริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK ซึ่งเป็นหุ้นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เป็นบริษัทแรกของปีนี้ ยังต้องลุ้นการฟื้นตัวของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกว่าจะเป็นไปในทิศทาง แม้ว่าล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศลดดอกเบี้ยถึง 0.75% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่ตลาดหุ้นยังไม่ตอบรับกับเรื่องดังกล่าวมากนัก
ทั้งนี้ บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล มีทุนจดทะเบียน 320 ล้านบาท โดยได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 80 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.76 บาท เพื่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ รวมทั้งชำระหนี้เงินกู้
นายภานุ คงแท่น ผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล กล่าวถึงผลกระทบต่อราคาหุ้นที่จะเข้าซื้อขายในวันแรกหลังหุ้นที่เสนอขายไม่สามารถขายได้หมด จนทำให้บริษัทต้องรับซื้อหุ้นเข้าพอร์ตกว่า 12 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3.75% ว่า คงไม่สามารถตอบได้ว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นหรือไม่อย่างไร แต่จากการโรดโชว์ข้อมูลของบริษัทที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดี
อย่างไรก็ดี แม้ภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้จะค่อนข้างผันผวน แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทที่มีผลประกอบการขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยจากปี 2549 ที่มีรายได้ 2,140 ล้านบาท (งวดปีบัญชี เม.ย.-มี.ค.) ขณะที่งวดไตรมาส 1 ของปี 2550 มีรายได้ 641 ล้านบาท ส่วนกำไรอยู่ที่ 23 ล้านบาท ประกอบกับธุรกิจบริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านการแปรรูปแสตนเลสครบวงจร และมีฐานะการเงินมั่นคง จึงทำให้เชื่อว่าน่าการเข้าซื้อขายหุ้นของบริษัทในวันแรกจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน
สำหรับการกำหนดราคาที่ 2.76 บาทเทียบเคียงพี/อีที่ 7.67 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำว่าพี/อีของกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 9 เท่า ทำให้ยังเชื่อว่าหุ้นที่เข้าซื้อขายจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนแต่คงต้องรอประเมินสถานการณ์จากตลาดหุ้นต่างประเทศอีกครั้ง
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วงกับการเข้าซื้อขายเป็นวันแรกของหุ้น LHK เนื่องจากเป็นช่วงที่ปัจจัยลบหลายเรื่องเริ่มส่งผลกระทบออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ซึ่งการที่หุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจองได้หรือไม่นั้น คงต้องดูการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศเป็นหลักว่ามีทิศทางอย่างไร ซึ่งหากสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากนโนยบายในการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อบรรเทาปัญหาซับไพรม์ก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือจากราคาจองซื้อได้
“มองว่าแม้ว่าราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาจองได้แต่คงไม่มากเหมือน IPO ที่เข้ามาจดทะเบียนก่อนหน้านี้ เพราะปัจจัยลบหลายเรื่องรอที่จะถล่มตลาดหุ้นเพิ่มอีก” แหล่งข่าวกล่าว
สถานการณ์การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของหุ้นบริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK ซึ่งเป็นหุ้นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เป็นบริษัทแรกของปีนี้ ยังต้องลุ้นการฟื้นตัวของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกว่าจะเป็นไปในทิศทาง แม้ว่าล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศลดดอกเบี้ยถึง 0.75% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่ตลาดหุ้นยังไม่ตอบรับกับเรื่องดังกล่าวมากนัก
ทั้งนี้ บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล มีทุนจดทะเบียน 320 ล้านบาท โดยได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 80 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.76 บาท เพื่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ รวมทั้งชำระหนี้เงินกู้
นายภานุ คงแท่น ผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล กล่าวถึงผลกระทบต่อราคาหุ้นที่จะเข้าซื้อขายในวันแรกหลังหุ้นที่เสนอขายไม่สามารถขายได้หมด จนทำให้บริษัทต้องรับซื้อหุ้นเข้าพอร์ตกว่า 12 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3.75% ว่า คงไม่สามารถตอบได้ว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นหรือไม่อย่างไร แต่จากการโรดโชว์ข้อมูลของบริษัทที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดี
อย่างไรก็ดี แม้ภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้จะค่อนข้างผันผวน แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทที่มีผลประกอบการขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยจากปี 2549 ที่มีรายได้ 2,140 ล้านบาท (งวดปีบัญชี เม.ย.-มี.ค.) ขณะที่งวดไตรมาส 1 ของปี 2550 มีรายได้ 641 ล้านบาท ส่วนกำไรอยู่ที่ 23 ล้านบาท ประกอบกับธุรกิจบริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านการแปรรูปแสตนเลสครบวงจร และมีฐานะการเงินมั่นคง จึงทำให้เชื่อว่าน่าการเข้าซื้อขายหุ้นของบริษัทในวันแรกจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน
สำหรับการกำหนดราคาที่ 2.76 บาทเทียบเคียงพี/อีที่ 7.67 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำว่าพี/อีของกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 9 เท่า ทำให้ยังเชื่อว่าหุ้นที่เข้าซื้อขายจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนแต่คงต้องรอประเมินสถานการณ์จากตลาดหุ้นต่างประเทศอีกครั้ง
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วงกับการเข้าซื้อขายเป็นวันแรกของหุ้น LHK เนื่องจากเป็นช่วงที่ปัจจัยลบหลายเรื่องเริ่มส่งผลกระทบออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ซึ่งการที่หุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจองได้หรือไม่นั้น คงต้องดูการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศเป็นหลักว่ามีทิศทางอย่างไร ซึ่งหากสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากนโนยบายในการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อบรรเทาปัญหาซับไพรม์ก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือจากราคาจองซื้อได้
“มองว่าแม้ว่าราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาจองได้แต่คงไม่มากเหมือน IPO ที่เข้ามาจดทะเบียนก่อนหน้านี้ เพราะปัจจัยลบหลายเรื่องรอที่จะถล่มตลาดหุ้นเพิ่มอีก” แหล่งข่าวกล่าว