ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ ดัชนีดีดตัวขึ้นได้ไม่นาน ก็ลงมาอยู่ในแดนลบ ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย โบรกฯ ชี้นักลงทุนกังวลแรงขายของต่างชาติ เพราะไม่มั่นใจเฟดลดดอกเบี้ย 0.75% ในครั้งนี้ จะทำให้ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ซึ่งอาจต้องปรับแรง 0.50% อีกรอบ ประธานฯ ตลท.กังวลหุ้นร่วงหนัก แนะดูพื้นฐานถือกันยาวๆ สำหรับทิศทางวันพรุ่งนี้ ตลาดมีโอกาสอ่อนตัวลง แนวต้าน 760 จุด แนวรับ 730 จุด พรุ่งนี้ยังเสี่ยงถูกแรงเทขายออกมาต่อเนื่อง
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(23 ม.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 740.65 จุด ลดลง 0.89 จุด เปลี่ยนแปลง -0.12% มูลค่าการซื้อขาย 22,233 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนในกรอบสลับบวกและลบตลอดทั้งวัน ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 759.82 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 739.47 จุด
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลท. กล่าวถึงภาวะราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างผันผวนตามภูมิภาคในช่วงนี้ เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีสาเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะถดถอย รวมทั้ง ไม่มีความเชื่อมั่นกับมาตรการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่งประกาศออกมา
"สำหรับตลาดหุ้นบ้านเราแม้ว่าดัชนีราคาหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงจากสิ้นปี 2550 ประมาณร้อยละ 13 แต่ก็ถือว่ายังมีเสถียรภาพมากกว่าอีกหลายตลาดหุ้น เชื่อว่าอีกไม่นานปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มิได้เลวร้าย ประกอบกับจะเริ่มมีการรีบาวน์ทางเทคนิค (Technical rebound) ในหลายตลาด ขอให้ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อยติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และขอให้ตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยใช้เหตุและผลและให้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก"
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ดีดตัวตามตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่ไม่ได้ดีดขึ้นมาแรงเมื่อเทียบกับวานนี้ (22 ม.ค.) ที่ลดลงไป 3% กว่า คือฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะส่วนหนึ่งนักลงทุนยังกังวลกับแรงขายของต่างชาติ และไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้จะทำให้ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
"การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดมองว่าอาจจะขึ้นเพียงสั้นๆ หยุดความปั่นป่วนชั่วคราว ความเสี่ยงที่จะถูกแรงขายยังมีค่อนข้างสูงอยู่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้าไปซื้อมากนัก จึงส่งผลให้ตลาดของบ้านเราปรับตัวขึ้นมาแถวๆระดับ 755-760 จุดก็มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง"นายวีระชัยกล่าว
ประเมินทิศทางตลาดไม่น่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ไกลและมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงมาได้ ยังประเมินแนวต้านไว้ที่ระดับ 760 จุด แนวรับ 730 จุดเหมือนเดิม
สำหรับปัจจัยภานในประเทศ ก็คงเป็นเรื่องเดิมๆ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ยังไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้จริง และคงไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ
แนวโน้มพรุ่งนี้ยังมองมีความเสี่ยงที่จะถูกแรงเทขายออกมา เพราะเฟดก็ส่งสัญญาณว่าอาจจะต้องมีการลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยเพราะเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกเวลาถดถอยหรือล้มทีหนึ่งจะมีผลต่อทั่วโลก เพราะมีนักวิเคราะห์ของสหรัฐบอกว่าผลกระทบครั้งนี้น่าจะไปกระทบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆอีก อาจจะต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่าอีก 18 เดือนจากนี้ไปกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 154 หลักทรัพย์ ลดลง 171 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 110 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุนในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,911.33 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,488.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 422.75 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,395.14 ล้านบาท ปิดที่ 294.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท , SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,948.31 ล้านบาท ปิดที่ 73.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,700.46 ล้านบาท ปิดที่ 137.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท , BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,531.43 ล้านบาท ปิดที่ 370.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,282.82 ล้านบาท ปิดที่ 37.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(23 ม.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 740.65 จุด ลดลง 0.89 จุด เปลี่ยนแปลง -0.12% มูลค่าการซื้อขาย 22,233 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนในกรอบสลับบวกและลบตลอดทั้งวัน ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 759.82 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 739.47 จุด
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลท. กล่าวถึงภาวะราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างผันผวนตามภูมิภาคในช่วงนี้ เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีสาเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะถดถอย รวมทั้ง ไม่มีความเชื่อมั่นกับมาตรการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่งประกาศออกมา
"สำหรับตลาดหุ้นบ้านเราแม้ว่าดัชนีราคาหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงจากสิ้นปี 2550 ประมาณร้อยละ 13 แต่ก็ถือว่ายังมีเสถียรภาพมากกว่าอีกหลายตลาดหุ้น เชื่อว่าอีกไม่นานปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มิได้เลวร้าย ประกอบกับจะเริ่มมีการรีบาวน์ทางเทคนิค (Technical rebound) ในหลายตลาด ขอให้ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อยติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และขอให้ตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยใช้เหตุและผลและให้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก"
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ดีดตัวตามตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่ไม่ได้ดีดขึ้นมาแรงเมื่อเทียบกับวานนี้ (22 ม.ค.) ที่ลดลงไป 3% กว่า คือฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะส่วนหนึ่งนักลงทุนยังกังวลกับแรงขายของต่างชาติ และไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้จะทำให้ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
"การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดมองว่าอาจจะขึ้นเพียงสั้นๆ หยุดความปั่นป่วนชั่วคราว ความเสี่ยงที่จะถูกแรงขายยังมีค่อนข้างสูงอยู่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้าไปซื้อมากนัก จึงส่งผลให้ตลาดของบ้านเราปรับตัวขึ้นมาแถวๆระดับ 755-760 จุดก็มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง"นายวีระชัยกล่าว
ประเมินทิศทางตลาดไม่น่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ไกลและมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงมาได้ ยังประเมินแนวต้านไว้ที่ระดับ 760 จุด แนวรับ 730 จุดเหมือนเดิม
สำหรับปัจจัยภานในประเทศ ก็คงเป็นเรื่องเดิมๆ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ยังไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้จริง และคงไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ
แนวโน้มพรุ่งนี้ยังมองมีความเสี่ยงที่จะถูกแรงเทขายออกมา เพราะเฟดก็ส่งสัญญาณว่าอาจจะต้องมีการลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยเพราะเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกเวลาถดถอยหรือล้มทีหนึ่งจะมีผลต่อทั่วโลก เพราะมีนักวิเคราะห์ของสหรัฐบอกว่าผลกระทบครั้งนี้น่าจะไปกระทบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆอีก อาจจะต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่าอีก 18 เดือนจากนี้ไปกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 154 หลักทรัพย์ ลดลง 171 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 110 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุนในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,911.33 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,488.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 422.75 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,395.14 ล้านบาท ปิดที่ 294.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท , SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,948.31 ล้านบาท ปิดที่ 73.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,700.46 ล้านบาท ปิดที่ 137.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท , BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,531.43 ล้านบาท ปิดที่ 370.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,282.82 ล้านบาท ปิดที่ 37.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
