แอล.พี.เอ็น.ฯ ยันอสังหาฯปี 51 ยังทรงตัว แม้ปัจจัยลบเพียบ เชื่อตั้งรัฐบาลใหม่-ดอกเบี้ยทรงตัว-น้ำมันขึ้นราคาปัจจัยบวกตลาดคอนโดฯ ระบุคอนโด 1-3 ล้านบาท แนวรถไฟฟ้าซับพลายเหลืออีกเยอะ เตือนจัดสรรหน้าเก่า-ใหม่ลงทุนอย่างระมัดระวัง มั่นใจตลาดคอนโดฯต่ำกว่า 1 ล้านบาทยังรุ่ง พร้อมส่งแบรนด์ลุมพินีคอนโดทาวน์ลุยเปิดตลาดใหม่ วาง "พรสันติ" พัฒนาที่ดินด้านหน้าคอนโดฯ สร้างรายได้ในอนาคต ตั้งเป้าปีนี้รายได้รับรู้ ยอดขายรวมโตไม่ต่ำกว่า 20%
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ในปีนี้ตลาดจะยังมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปี 50 ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกการจากการเมืองที่การเลือกตั้งมีความชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น กล้าจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
นอกจากนี้ยังจะทำให้มีการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยที่ผ่านมากลุ่มทุนจากประเทศตะวันออกกลางและยุโรป มีการเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและเป็นการกระจายเม็ดเงินเข้ามาในระบบ
ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ บทเรียนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub prime) ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อการพิจารณาปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินรายย่อยให้เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ ส่วนปัจจัยลบที่เกิดจากการขึ้นราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างให้มีการปรับตัวขึ้นไปแล้วในช่วงที่ผ่านมานี้ จะทำให้ราคาขายที่อยู่อาศัยในปี 2551 ปรับขึ้นอีก
โดยที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวจะเป็นเซกต์เตอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะได้รับผลบวกมากกว่าลบ เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทนในการเดินทางทำให้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าหรือพื้นที่ใกล้เมือง ที่มีระบบขนส่งมวลรถรองรับการเดินทางเข้ามาเมืองหรือแหล่งงานที่สะดวกและรวดเร็ว
นอกจากนี้ปัจจัยลบอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ คือภาวะความตรึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจจะส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันในตลาดโลกให้ลดลงและราคาขายมีการปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคนั้น คาดว่าในปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม เนื่องจากไม่สามารถปรับลดลงได้ต่ำกว่าปัจจุบันเพราะจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในปัจจุบัน พึ่งพาการส่งออกต่างประเทศถึง 70%
**เตือนคอนโดฯ1-3 ล้านล้นตลาด**
นายโอภาส กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมายังมีสต็อกค้างอยู่ค่อนข้างมาโดยเฉพาะในตลาดระดับราคา 1-3 ในแนวรถไฟฟ้า ส่วนตลาดระดับบน ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปยังคงมีสต็อกค้างอยู่เล็กน้อย ขณะที่ตลาดระดับล่างราคาต่ำกว่า 1ล้านบาทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง ซึ่งในปี51นี้ บริษัทจะใช้
แบรนด์ ลุมพินีคอนโดทาวน์ เป็นหัวหอกในการทำตลาด โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ ประกอบด้วยแบรนด์ ลุมพินีคอนโดทาวน์ 4 โครงการ แบรนด์ ลุมพินีวิลล์ 2 โครงการ และแบรนด์ ลุมพินีเพลส 2 โครงการมูล่ารวม 12,000 ล้านบาท
โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม และยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปี50 ซึ่งมียอดขายรวม9,000 ล้านบาทและยอดรับรู้รายได้ 6,500 ล้านบาท ประมาณ 20% หรือมียอดขายรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท และมียอดรายได้รับรู้รวมประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท จากยอดยอดที่รอรับรู้ที่โอนมาจากปี50 และยอดรับรู้รายได้จากการขายโครงการทั้งมหมด7โครงการ
**ดันพรสันติหารายได้จากแนวราบ**
นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด กล่าวว่าในช่วง 5 ปีจากนี้บริษัทจะทำหน้าที่คอยซับพอร์ตบริษัทแม่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการเข้าไปพัฒนาโครงการในที่ดินที่เป็นเศษ หรือส่วนที่เหลือจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยสามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยได้ในทุกรูปแบบยกเว้นคอนโดฯ
ส่วนในอนาคตนั้น พรสันติจะเป็นหัวหอกในการสร้างมูลค่าเพิ่มการพัฒนาโครงการให้แก่บริษัทแม่ โดยบริษัทแม่อาจจะมีการตัดที่ดินบางส่วนในการพัฒนาโครงการคอนโดฯเพื่อให้ พรสันติ พัฒนาเป็นโครงการในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนบริษัทแม่ซึ่งจะพัฒนาคอนโดฯ เพียงอย่างเดียวก็จะใช้ที่ดินในส่วนด้านหลังโครงการในการพัฒนาคอนโดฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทพรสันติ มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 40 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ 500 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตที่รายได้ในปีนี้ลดลงเนื่องจากบริษัทชะลอการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ในซอยลาดพร้าว21 ออกซึ่งมีมูลค่าขายประมาณ 350 ล้านบาท โดยจะนำมาพัฒนาในปี 51 นี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวเดิมแอล.พี.เอ็น.จะนำมาสร้างเป้ฯคอนโดมิเนียม แต่เนื่องจากติดปัญหาผู้อยู่อาศัยข้างเคียงไม่ยินยอม จึงปรับแผนพัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์จำนวน 45-50 ยูนิต ราคาขาย 6-8 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ในปีนี้ตลาดจะยังมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปี 50 ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกการจากการเมืองที่การเลือกตั้งมีความชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น กล้าจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
นอกจากนี้ยังจะทำให้มีการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยที่ผ่านมากลุ่มทุนจากประเทศตะวันออกกลางและยุโรป มีการเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและเป็นการกระจายเม็ดเงินเข้ามาในระบบ
ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ บทเรียนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub prime) ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อการพิจารณาปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินรายย่อยให้เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ ส่วนปัจจัยลบที่เกิดจากการขึ้นราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างให้มีการปรับตัวขึ้นไปแล้วในช่วงที่ผ่านมานี้ จะทำให้ราคาขายที่อยู่อาศัยในปี 2551 ปรับขึ้นอีก
โดยที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวจะเป็นเซกต์เตอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะได้รับผลบวกมากกว่าลบ เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทนในการเดินทางทำให้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าหรือพื้นที่ใกล้เมือง ที่มีระบบขนส่งมวลรถรองรับการเดินทางเข้ามาเมืองหรือแหล่งงานที่สะดวกและรวดเร็ว
นอกจากนี้ปัจจัยลบอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ คือภาวะความตรึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจจะส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันในตลาดโลกให้ลดลงและราคาขายมีการปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคนั้น คาดว่าในปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม เนื่องจากไม่สามารถปรับลดลงได้ต่ำกว่าปัจจุบันเพราะจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในปัจจุบัน พึ่งพาการส่งออกต่างประเทศถึง 70%
**เตือนคอนโดฯ1-3 ล้านล้นตลาด**
นายโอภาส กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมายังมีสต็อกค้างอยู่ค่อนข้างมาโดยเฉพาะในตลาดระดับราคา 1-3 ในแนวรถไฟฟ้า ส่วนตลาดระดับบน ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปยังคงมีสต็อกค้างอยู่เล็กน้อย ขณะที่ตลาดระดับล่างราคาต่ำกว่า 1ล้านบาทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง ซึ่งในปี51นี้ บริษัทจะใช้
แบรนด์ ลุมพินีคอนโดทาวน์ เป็นหัวหอกในการทำตลาด โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ ประกอบด้วยแบรนด์ ลุมพินีคอนโดทาวน์ 4 โครงการ แบรนด์ ลุมพินีวิลล์ 2 โครงการ และแบรนด์ ลุมพินีเพลส 2 โครงการมูล่ารวม 12,000 ล้านบาท
โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม และยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปี50 ซึ่งมียอดขายรวม9,000 ล้านบาทและยอดรับรู้รายได้ 6,500 ล้านบาท ประมาณ 20% หรือมียอดขายรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท และมียอดรายได้รับรู้รวมประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท จากยอดยอดที่รอรับรู้ที่โอนมาจากปี50 และยอดรับรู้รายได้จากการขายโครงการทั้งมหมด7โครงการ
**ดันพรสันติหารายได้จากแนวราบ**
นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด กล่าวว่าในช่วง 5 ปีจากนี้บริษัทจะทำหน้าที่คอยซับพอร์ตบริษัทแม่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการเข้าไปพัฒนาโครงการในที่ดินที่เป็นเศษ หรือส่วนที่เหลือจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยสามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยได้ในทุกรูปแบบยกเว้นคอนโดฯ
ส่วนในอนาคตนั้น พรสันติจะเป็นหัวหอกในการสร้างมูลค่าเพิ่มการพัฒนาโครงการให้แก่บริษัทแม่ โดยบริษัทแม่อาจจะมีการตัดที่ดินบางส่วนในการพัฒนาโครงการคอนโดฯเพื่อให้ พรสันติ พัฒนาเป็นโครงการในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนบริษัทแม่ซึ่งจะพัฒนาคอนโดฯ เพียงอย่างเดียวก็จะใช้ที่ดินในส่วนด้านหลังโครงการในการพัฒนาคอนโดฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทพรสันติ มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 40 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ 500 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตที่รายได้ในปีนี้ลดลงเนื่องจากบริษัทชะลอการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ในซอยลาดพร้าว21 ออกซึ่งมีมูลค่าขายประมาณ 350 ล้านบาท โดยจะนำมาพัฒนาในปี 51 นี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวเดิมแอล.พี.เอ็น.จะนำมาสร้างเป้ฯคอนโดมิเนียม แต่เนื่องจากติดปัญหาผู้อยู่อาศัยข้างเคียงไม่ยินยอม จึงปรับแผนพัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์จำนวน 45-50 ยูนิต ราคาขาย 6-8 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้