RCI มั่นใจรัฐบาลใหม่สานต่อเมกะโปรเจกต์กระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดันตลาดกระเบื้องเซรามิคปี51โตไม่ต่ำกว่า 10% เชื่อน้ำมันขึ้น ส่งผลผู้ประกอบการปรับราคาขายหลังรับภาระทางด้านต้นทุนมานานกว่า2ปี เผยแผนปี51 เตรียมส่งสินค้าแบรนด์ Modena เจาะตลาดระดับกลางผ่านเข้าโครงการจัดสรร เร่งเพิ่มเพดานส่งออก หลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรง หลังกำลังรวมในตลาดโอเวอร์ซัปพลายกว่า 50 ล้านตร.ม. ตั้งเป้าปี51ยอดขาย1,600 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15%
นายสัญญา นองสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ RCI เปิดเผยถึงตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคว่า แนวโน้มตลาดในปี2551นี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หากเกิดความชัดเจนของการลงทุนและการเมืองที่ดีขึ้น และหากรัฐบาลใหม่ สามารถดำเนินการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้ในปีนี้ จะส่งผลดีต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ทำให้อัตราการเติบโตของภาคการก่อสร้างขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของตลาดกระเบื้องเซรามิคที่เป็นตลาดเกี่ยวเนื่อง จะมีแนวโน้วเติบโตขึ้นจากปี50ประมาณ 10%
ส่วนปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อตลาดกระเบื้องเซรามิคในปีนี้ หลักๆเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิต ต้นทุนพลังงาน เช่น แก๊ส เป็นต้นทุนการผลิตหลัก มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 30% และค่าขนส่งให้ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการกระเบื้องเซรามิค ได้รับภาระการเพิ่มขึ้นของต้นทุนมาแล้วกว่า 2 ปี ทำให้ภายในปี 2551 ผู้ผลิตต้องขยับราคาขายกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้น
นายสัญญา กล่าวว่า สำหรับตลาดกระเบื้องเซรามิค แบ่งโซนการทำตลาดออกเป็น 2 โซน ประกอบด้วยโซนกทม. คาดว่าการเติบโตของตลาดจะขยายตัวอยู่ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้ การปรับราคาน้ำมันจะยิ่งส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดคอนโดฯ
ส่วนตลาดในโซนต่างจังหวัดนั้น คาดว่าจะได้รับผลดีจากการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ท ขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยว และผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง
สำหรับแผนการทำตลาดของบริษัทในปี 2551 จะยังเน้นจับตลาดระดับกลางและบน โดยจะเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด คือ แบรนด์ Modena ที่เจาะตลาดระดับกลางเพิ่มขึ้น ผ่านเข้าสู่กลุ่มโครงการจัดสรร ที่ต้องการสินค้าที่มีราคาต่ำ แต่มีคุณภาพที่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ประกอบการจัดสรร ต้องมีการบริหารต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้มีความจำเป็น เลือกสรรสินค้าที่มีราคาจำกัด และยังคงคุณภาพอยู่
กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า ในด้านตลาดระดับกลางถึงบน บริษัทจะยังใช้สินค้าแบรนด์ RCI ทำตลาดต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยจะเน้นทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย หรือ ดีลเลอร์ ในขณะที่ตลาดระดับบน ยังคงใช้แบรนด์เทส แอนด์ ไทส์ ทำตลาดต่อ โดยจะเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางการเลือกใช้กระเบื้องในการก่อสร้าง ของสถาปนิก วิศวกร และนักออกแบบ(ดีไซน์เนอร์) ซึ่งเป็นผู้กำหนด(สเปก)สินค้าให้ลูกค้าตลาดระดับบน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกำลังการผลิตในตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคยังถือว่าล้นตลาดอยู่ รวมทั้งตลาดมีกำลังผลิตประมาณ 180 ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) ในขณะที่ปริมาณการใช้กระเบื้องเซรามิคในประเทศมีอยู่ 130 กว่าล้านตร.ม.ต่อปี มีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ 50 ล้านตร.ม. ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในส่วนของบริษัท ได้ปรับกลยุทธ์ ขยายการส่งออกสินค้าในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 95% และส่งออกอยู่5% จากกำลังการผลิตรวม7 ล้านตร.ม. ขณะที่แนวโน้มยอดขายในปี 2551 ได้ตั้งเป้าไว้ 1,600 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15% จากการรุกตลาดบ้านจัดสรรและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายที่ 1,800 ล้านบาท แต่ผลจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ทำให้ตัวเลขยอดขายพลาดเป้า
นายสัญญา นองสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ RCI เปิดเผยถึงตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคว่า แนวโน้มตลาดในปี2551นี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หากเกิดความชัดเจนของการลงทุนและการเมืองที่ดีขึ้น และหากรัฐบาลใหม่ สามารถดำเนินการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้ในปีนี้ จะส่งผลดีต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ทำให้อัตราการเติบโตของภาคการก่อสร้างขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของตลาดกระเบื้องเซรามิคที่เป็นตลาดเกี่ยวเนื่อง จะมีแนวโน้วเติบโตขึ้นจากปี50ประมาณ 10%
ส่วนปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อตลาดกระเบื้องเซรามิคในปีนี้ หลักๆเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิต ต้นทุนพลังงาน เช่น แก๊ส เป็นต้นทุนการผลิตหลัก มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 30% และค่าขนส่งให้ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการกระเบื้องเซรามิค ได้รับภาระการเพิ่มขึ้นของต้นทุนมาแล้วกว่า 2 ปี ทำให้ภายในปี 2551 ผู้ผลิตต้องขยับราคาขายกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้น
นายสัญญา กล่าวว่า สำหรับตลาดกระเบื้องเซรามิค แบ่งโซนการทำตลาดออกเป็น 2 โซน ประกอบด้วยโซนกทม. คาดว่าการเติบโตของตลาดจะขยายตัวอยู่ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้ การปรับราคาน้ำมันจะยิ่งส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดคอนโดฯ
ส่วนตลาดในโซนต่างจังหวัดนั้น คาดว่าจะได้รับผลดีจากการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ท ขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยว และผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง
สำหรับแผนการทำตลาดของบริษัทในปี 2551 จะยังเน้นจับตลาดระดับกลางและบน โดยจะเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด คือ แบรนด์ Modena ที่เจาะตลาดระดับกลางเพิ่มขึ้น ผ่านเข้าสู่กลุ่มโครงการจัดสรร ที่ต้องการสินค้าที่มีราคาต่ำ แต่มีคุณภาพที่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ประกอบการจัดสรร ต้องมีการบริหารต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้มีความจำเป็น เลือกสรรสินค้าที่มีราคาจำกัด และยังคงคุณภาพอยู่
กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า ในด้านตลาดระดับกลางถึงบน บริษัทจะยังใช้สินค้าแบรนด์ RCI ทำตลาดต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยจะเน้นทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย หรือ ดีลเลอร์ ในขณะที่ตลาดระดับบน ยังคงใช้แบรนด์เทส แอนด์ ไทส์ ทำตลาดต่อ โดยจะเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางการเลือกใช้กระเบื้องในการก่อสร้าง ของสถาปนิก วิศวกร และนักออกแบบ(ดีไซน์เนอร์) ซึ่งเป็นผู้กำหนด(สเปก)สินค้าให้ลูกค้าตลาดระดับบน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกำลังการผลิตในตลาดรวมกระเบื้องเซรามิคยังถือว่าล้นตลาดอยู่ รวมทั้งตลาดมีกำลังผลิตประมาณ 180 ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) ในขณะที่ปริมาณการใช้กระเบื้องเซรามิคในประเทศมีอยู่ 130 กว่าล้านตร.ม.ต่อปี มีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ 50 ล้านตร.ม. ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในส่วนของบริษัท ได้ปรับกลยุทธ์ ขยายการส่งออกสินค้าในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 95% และส่งออกอยู่5% จากกำลังการผลิตรวม7 ล้านตร.ม. ขณะที่แนวโน้มยอดขายในปี 2551 ได้ตั้งเป้าไว้ 1,600 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15% จากการรุกตลาดบ้านจัดสรรและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายที่ 1,800 ล้านบาท แต่ผลจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ทำให้ตัวเลขยอดขายพลาดเป้า