ธนาคารทิสโก้ เปิดแผนธุรกิจปีหนู ตั้งเป้าขยายสินเชื่อสุทธิ 13,000–14,000 ล้านบาท มุ่งควบคุมคุณภาพสินเชื่อเป็นหลัก พร้อมขยายบัญชีเงินฝากเป็น 100,000 บัญชี เชื่อกนง.คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม
นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า ในปี 2551 ธนาคารตั้งเป้าหมายการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อรวมสุทธิไว้ที่ 15-16% หรือคิดเป็นมูลค่าสินเชื่อ 13,000-14,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อตั้งเป้าการเติบโต 19-20% หรือคิดเป็นมูลค่าการเติบโตสุทธิ 11,000 ล้านบาท โดยเป็นการตั้งเป้าหมายภายใต้การคาดการณ์การเมืองที่ไม่เลวร้ายลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว และผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภายในครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น
ส่วนการแข่งขันนั้นยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของธนาคารจะเน้นขยายธุรกิจไปยังส่วนที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจะยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพของสินเชื่อ ซึ่งส่วนที่ธนาคารจะนำมาใช้แข่งขันคือ การให้ผลตอบแทนแก่ลูกค้าที่ดีกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ต้นทุนจากการใช้บริการของที่ถูกว่าโดยลูกค้าของธนาคารสามารถกดเงิน-ถอนเงินจากธนาคารอื่นทั่วประเทศได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ และไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยภาระธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงจะให้บริการด้วยความรวดเร็ว โดยการทำธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ผ่านบัตร Tisco Direct Card ของธนาคารจะต้องใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที
ทั้งนี้ ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อนั้นธนาคารจะยังคงเน้นเรื่องของคุณภาพสินเชื่อเช่นกัน โดยปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อคิดเป็น 75% ของพอร์ตสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การแข่งขันซึ่งมีความรุนแรงนั้น ทำให้ผู้ประกอบการลืมคิดไปถึงผลกระทบต่อเรื่องของรายได้ที่ลดลง เช่น ในสินเชื่อเช่าซื้อที่มีการแข่งลดราคา ลดเงินดาวน์ รวมถึงการปล่อยกู้ที่ง่าย ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียกชำระหนี้และอาจกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
“ธนาคารจะเลือกสินเชื่อที่คุณภาพดี ผลตอบแทนพอสมควร เอาแค่พออยู่ได้เห็นได้จากปีก่อนๆ ยอดสินเชื่อเช่าซื้อเราไม่โต เพราะเราตั้งใจชะลอไว้ และปีนี้ก็ต้องควบคุมเรื่องการแข่งขันพอสมควร และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็น่าจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถทำยอดได้มากขึ้น แต่ธนาคารจะยังมีความระมัดระวังมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจยังมีความผันผวนไม่ต่างจากปีก่อน” นายปลิว กล่าว
นายปลิว กล่าวว่า ธนาคารคาดว่า ในปีนี้จะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ไว้ที่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งธนาคารมีแผนในการลดต้นทุนเงินฝากลงในอนาคต โดยการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากรายย่อยให้มากขึ้น เพราะมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่ารายใหญ่ ซึ่งตั้งเป้าว่าจำนวนบัญชีจะเพิ่มจาก 35,000 บัญชี เป็น 100,000 บัญชี ภายในปี 2551 ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ โดยในขณะนี้ธนาคารมีความพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆ ที่มีความเข้มงวดต่อสถาบันการเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน กฎเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงฉบับใหม่ หรือ Basel 2 และมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ หรือ IAS 39
“จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมา ธนาคารมียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 2,805.96 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74.8% ของยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เท่ากับ 2,085.20 ล้านบาท ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการดำเนินงาน ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้หลักเกณฑ์มาตรฐานบัญชีฉบับใหม หรือ IAS 39 ครบถ้วนทั้ง 3 เฟสแล้วตั้งแต่กลางปี 2550” นายปลิว กล่าว
นอกจากนี้ การดำรงเงินกองทุนตามเกณฑ์ของ ธปท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการขยายตัวในอนาคต โดยฐานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร (BIS Ratio) ได้ปรับตัวลดลงจาก 13.42% ณ สิ้นปี 2549 มาอยู่ที่ 11.92% ณ สิ้นปี 2550 ตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเงินให้สินเชื่อ โดยเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร (Tier1) ลดลงจาก 12.73% ณ สิ้นปี 2549 มาอยู่ที่ 11.55% ณ สิ้นปี 2550 โดยอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนดังกล่าวยังสูงกว่าอัตราขั้นต่ำ 8.50% และ 4.25% ที่กำหนดโดยธปท. อย่างไรก็ตาม หากธนาคารได้คำนวณโดยใช้เกณฑ์ Basel 2 แล้วจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องการมีพันธมิตรในการเข้าถือหุ้น ปัจจุบันมองว่ายังไม่มีความจำเป็น แม้ในอนาคตจะเปิดเสรีทางการเงินก็ตาม เนื่องจากการดำเนินธุรกิจปัจจุบันยังสามารถสู้ต่างชาติได้ โดยธุรกิจลีสซิ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญซึ่งทิสโก้ถือว่าเป็นเจ้าแรกในการทำธุรกิจลีสซิ่งในประเทศไทย และไม่เชื่อว่าต่างชาติจะทำเช่าซื้อได้ดีกว่า
**เชื่อ กนง.คงดอกเบี้ย**
นายปลิว กล่าวว่า หากจะประเมินจากปัจจัยภายในประเทศแล้วทำให้คาดเดาทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศค่อนข้างยาก และอัตราเงินเฟ้อปีนี้อาจจะขยับขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยรับของธนาคาร ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนย้ายเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่หากมีการชะลอตัวจนถึงขั้นตกต่ำก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้นเป็นเพียงการส่งสัญญาณมากกว่า ซึ่งในการประชุมรอบนี้คาดว่าน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมมากกว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ระยะสั้นมีแนวโน้มจะขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มจะลดลง
นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า ในปี 2551 ธนาคารตั้งเป้าหมายการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อรวมสุทธิไว้ที่ 15-16% หรือคิดเป็นมูลค่าสินเชื่อ 13,000-14,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อตั้งเป้าการเติบโต 19-20% หรือคิดเป็นมูลค่าการเติบโตสุทธิ 11,000 ล้านบาท โดยเป็นการตั้งเป้าหมายภายใต้การคาดการณ์การเมืองที่ไม่เลวร้ายลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว และผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภายในครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น
ส่วนการแข่งขันนั้นยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของธนาคารจะเน้นขยายธุรกิจไปยังส่วนที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจะยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพของสินเชื่อ ซึ่งส่วนที่ธนาคารจะนำมาใช้แข่งขันคือ การให้ผลตอบแทนแก่ลูกค้าที่ดีกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ต้นทุนจากการใช้บริการของที่ถูกว่าโดยลูกค้าของธนาคารสามารถกดเงิน-ถอนเงินจากธนาคารอื่นทั่วประเทศได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ และไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยภาระธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงจะให้บริการด้วยความรวดเร็ว โดยการทำธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ผ่านบัตร Tisco Direct Card ของธนาคารจะต้องใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที
ทั้งนี้ ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อนั้นธนาคารจะยังคงเน้นเรื่องของคุณภาพสินเชื่อเช่นกัน โดยปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อคิดเป็น 75% ของพอร์ตสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การแข่งขันซึ่งมีความรุนแรงนั้น ทำให้ผู้ประกอบการลืมคิดไปถึงผลกระทบต่อเรื่องของรายได้ที่ลดลง เช่น ในสินเชื่อเช่าซื้อที่มีการแข่งลดราคา ลดเงินดาวน์ รวมถึงการปล่อยกู้ที่ง่าย ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียกชำระหนี้และอาจกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
“ธนาคารจะเลือกสินเชื่อที่คุณภาพดี ผลตอบแทนพอสมควร เอาแค่พออยู่ได้เห็นได้จากปีก่อนๆ ยอดสินเชื่อเช่าซื้อเราไม่โต เพราะเราตั้งใจชะลอไว้ และปีนี้ก็ต้องควบคุมเรื่องการแข่งขันพอสมควร และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็น่าจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถทำยอดได้มากขึ้น แต่ธนาคารจะยังมีความระมัดระวังมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจยังมีความผันผวนไม่ต่างจากปีก่อน” นายปลิว กล่าว
นายปลิว กล่าวว่า ธนาคารคาดว่า ในปีนี้จะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ไว้ที่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งธนาคารมีแผนในการลดต้นทุนเงินฝากลงในอนาคต โดยการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากรายย่อยให้มากขึ้น เพราะมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่ารายใหญ่ ซึ่งตั้งเป้าว่าจำนวนบัญชีจะเพิ่มจาก 35,000 บัญชี เป็น 100,000 บัญชี ภายในปี 2551 ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ โดยในขณะนี้ธนาคารมีความพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆ ที่มีความเข้มงวดต่อสถาบันการเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน กฎเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงฉบับใหม่ หรือ Basel 2 และมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ หรือ IAS 39
“จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมา ธนาคารมียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 2,805.96 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74.8% ของยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เท่ากับ 2,085.20 ล้านบาท ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการดำเนินงาน ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้หลักเกณฑ์มาตรฐานบัญชีฉบับใหม หรือ IAS 39 ครบถ้วนทั้ง 3 เฟสแล้วตั้งแต่กลางปี 2550” นายปลิว กล่าว
นอกจากนี้ การดำรงเงินกองทุนตามเกณฑ์ของ ธปท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการขยายตัวในอนาคต โดยฐานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร (BIS Ratio) ได้ปรับตัวลดลงจาก 13.42% ณ สิ้นปี 2549 มาอยู่ที่ 11.92% ณ สิ้นปี 2550 ตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเงินให้สินเชื่อ โดยเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร (Tier1) ลดลงจาก 12.73% ณ สิ้นปี 2549 มาอยู่ที่ 11.55% ณ สิ้นปี 2550 โดยอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนดังกล่าวยังสูงกว่าอัตราขั้นต่ำ 8.50% และ 4.25% ที่กำหนดโดยธปท. อย่างไรก็ตาม หากธนาคารได้คำนวณโดยใช้เกณฑ์ Basel 2 แล้วจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องการมีพันธมิตรในการเข้าถือหุ้น ปัจจุบันมองว่ายังไม่มีความจำเป็น แม้ในอนาคตจะเปิดเสรีทางการเงินก็ตาม เนื่องจากการดำเนินธุรกิจปัจจุบันยังสามารถสู้ต่างชาติได้ โดยธุรกิจลีสซิ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญซึ่งทิสโก้ถือว่าเป็นเจ้าแรกในการทำธุรกิจลีสซิ่งในประเทศไทย และไม่เชื่อว่าต่างชาติจะทำเช่าซื้อได้ดีกว่า
**เชื่อ กนง.คงดอกเบี้ย**
นายปลิว กล่าวว่า หากจะประเมินจากปัจจัยภายในประเทศแล้วทำให้คาดเดาทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศค่อนข้างยาก และอัตราเงินเฟ้อปีนี้อาจจะขยับขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยรับของธนาคาร ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนย้ายเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่หากมีการชะลอตัวจนถึงขั้นตกต่ำก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้นเป็นเพียงการส่งสัญญาณมากกว่า ซึ่งในการประชุมรอบนี้คาดว่าน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมมากกว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ระยะสั้นมีแนวโน้มจะขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มจะลดลง