เปิดวงเสวนาวิชาการ กรณี ปตท.โอนท่อก๊าซคืนแผ่นดิน ชี้ ประเด็นการโอนคืนเฉพาะส่วนบนบก และคำนวณทรัพย์สินเฉพาะที่ได้มาก่อนแปรรูป เป็นการตีความแบบเอาประโยชน์เข้าตัวเอง ปกป้องผลกำไรโดยอ้างผลกระทบผู้ถือหุ้นหลายล้านคน พร้อมตำหนิบทวิเคราะห์ โบรกเกอร์ เชื่อข้อมูลผู้บริหารมากไป โดยไม่มีการหาข้อมูลสนับสนุนอย่างรอบด้าน
วันนี้ (9 ม.ค.) น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน กล่าวในงานเสวนา เรื่องการปฎิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองกรณี ปตท. : แนวทางและผลกระทบ กรณีที่ศาลพิพากษาให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT โอนท่อก๊าซคืนให้กับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยระบุว่า การโอนท่อก๊าซเฉพาะส่วนอยู่บนบก และคำนวณทรัพย์สินเฉพาะที่ได้มาก่อนการแปรรูปถือว่า เป็นการตีความที่ผิดพลาด
นอกจากนั้น การตีความดังกล่าวยังคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นมากเกินไป โดยไม่ได้พิจารณาผลสูญเสียของประชาชนที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในราคาสูงตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ถูกบวกภาระต่างๆ เข้าไป
ทั้งนี้ จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ไปดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์อัตราค่าเช่าในส่วนระบบท่อก๊าซ ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากการคิดสูตรค่าไฟฟ้าของไทยคำนวณแบบ Cost Plus ซึ่งขึ้นอยู่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งต้นทุนหลัก ก็คือ ก๊าซธรรมชาติ
“ควรจะผลักดันให้เปลี่ยนสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าจากวิธี Cost Plus มาเป็นเพดานราคา เพื่อไม่ให้ ปตท.ผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับประชาชนและผู้บริโภค ขณะที่ ปตท.ไม่ได้มีกำไรลดลง เนื่องจาก ปตท.ใช้วิธีการคิดกำไรแบบผูกขาด”
น.ส.สฤณี ระบุว่า บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงหุ้น PTT เชื่อข้อมูลจากฝ่ายบริหารของบริษัท ปตท.มากเกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา เนื่องจากหุ้น PTT ยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องการฟ้องร้องกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่อาจจะมีตามมาอีก
“ทั้งนี้ คงเป็นผลจากการที่นักวิเคราะห์ฟังข้อมูลผู้บริหารมากเกินไป โดยยังไม่เช็กข้อมูลที่หลากหลายและรอบด้าน และยังมีคำแนะนำซื้อเนื่องจากเชื่อว่าหุ้น ปตท.ได้รับผลกระทบไม่มากนัก แค่ 1-5 บาทต่อหุ้น อาจทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเข้าไปซื้อโดยไม่ได้ศึกษาที่ละเอียด ดังนั้น การวิเคราะห์ควรจะมีมาตรฐานมากกว่านี้”
การบิดเบือนข้อมูลของ ปตท.ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนรายย่อย โดยการ “ต่อเติม” มติ ครม.เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2550 เรื่องที่ 15 ข้อ 1-3 โดยต่อเติมมติ ครม.ในสาระสำคัญโดยเฉพาะมีการระบุทั้ง “หลักการ” และ “ท่อ” ที่จะโอนตามหลักการดังกล่าว ซึ่งไม่ได้อยู่ในมติครม.โดยรวมมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินที่เป็นของกระทรวงการคลังตามคำวินิจฉัยของศาลฯ ประมาณ 15,139 ล้านบาท
กิจการส่งก๊าซผ่านท่อโยงอยู่กับระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ดังนั้น จึงเป็นกิจการที่รัฐควรเข้ามาดูแลไม่ให้มีกำไรเกินควร ซึ่งอำนาจในการกำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติหรือค่าผ่านท่อ เป็นของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป้าหมายที่จะต้องกดดันในเรื่องนี้ คือ กพช.และกระทรวงพลังงาน ไม่ใช่กระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท.
ที่ผ่านมา แม้ว่า กพช.จะมีมติให้ทบทวนการคำนวณ ค่าผ่านท่อ โดยมีมติครั้งที่ 7/1550 เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2550 ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สนพ.) เสนอให้ทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซฯ ใน 2 ส่วน คือ Demand Charge ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการให้บริการคงที่ และ Commodity Charge ที่คำนวณจากค่าใช้จ่ายการให้บริการส่วนผันแปร และเห็นควรปรับอัตราการลงทุนที่แท้จริงในส่วนของทุน (IRR on Equity) เห็นควรปรับจากที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 12.5 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวเห็นควรปรับจากร้อยละ 10.5 เป็นร้อยละ 7.5 ส่วนอัตราหนี้สินต่อทุนเห็นควรปรับจากที่ระดับ 75.25 เป็น 55.45 เพราะธุรกิจท่อส่งก๊าซ เป็นกิจการผูกขาดมีความเสี่ยงต่ำ
อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวซึ่ง กพช.เห็นชอบในหลักเกณฑ์การคำนวณค่าผ่านท่อฯ ที่สนพ.นำเสนอ แต่ข้อสรุปว่า จะทำให้เกิดผลกระทบด้านราคาก๊าซฯ ปรับขึ้น 2.06 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ค่าเอฟทีปรับเพิ่มขึ้น 1.25 สต.ต่อหน่วย จึงยังไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
การปรับลดอัตรา IRR อัตราดอกเบี้ย และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อปัจจุบัน อาจไม่ช่วยให้ปตท.มีกำไรผูกขาดลดลง เพราะสามารถส่งต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้กับผู้ซื้อก๊าซได้ตามหลัก cost-plus คือ ต้นทุนบวกกำไร วิธีการที่จะจำกัดกำไรผูกขาดของปตท.เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องเปลี่ยนสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อฯ จาก cost-plus มาเป็นแบบเพดานราคาเพื่อไม่ให้ ปตท.ส่งต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวทางการพิจารณาและการพิพากษาคดีการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปรียบเทียบกับคดีปตท. ของศาลปกครองสูงสุด ถือว่ามีความแตกต่างกัน โดยคดี กฟผ.ศาลฯ ตัดสินให้ยกเลิก พ.ร.ฎ.การแปรรูปฯ และให้ กฟผ.กลับคืนสู่สถานะเดิม แต่กรณีของคดี ปตท. ซึ่งระยะเวลาการแปรรูปฯ ได้ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว การตัดสินคดีนี้ ศาลฯ ได้ยึดหลักคุ้มครองความมั่นคงฯ และคุ้มครองความมั่นใจของบุคคล และอิงมาตรา 72 แห่งพ.ร.บ.ศาลปกครองฯ พิพากษาว่าการโอนทรัพย์สินสาธารณสมบัติและอำนาจมหาชนไปให้ ปตท.ไม่ถูกต้องแต่ให้ไปจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง
ตามคำพิพาษาของศาลฯ ที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ คือ ครม., นายกรัฐมนตรี, รมว.กระทรวงพลังงาน และปตท. ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ ปตท. นำไปสู่การตีความว่าทรัพย์สินส่วนใดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ต้องโอนคืน ส่วนใดที่เป็นของ ปตท. ฯลฯ ตามคำพิพากษาของศาลฯ และที่ผ่านมามีการตีความจากฝ่ายปตท.และกระทรวงพลังงาน ว่า ท่อส่งก๊าซฯ ทางทะเล ไม่อยู่ในข่ายที่ต้องโอนคืนรัฐ รวมทั้งท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลย์ ก็ไม่อยู่ในข่ายเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นายปิยบุตร ให้ความเห็นในฐานะนักกฎหมายว่า ท่อส่งก๊าซฯทางทะเลถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ต้องโอนคืนรัฐ ไม่ใช่โอนคืนเฉพาะท่อก๊าซฯ บนบกเพียงบางส่วนเท่านั้น
นางชื่นชม สง่าราศรี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน กล่าวว่า ท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ และโรงแยกก๊าซ ซึ่งถือเป็นส่วนควบ ถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ต้องโอนคืน เพราะแม้ว่าบริษัททรานส์ไทย-เมเลเซีย เจ้าของโครงการท่อส่งก๊าซฯ และโรงแยกก๊าซฯ ที่ปตท.ไปถือหุ้นอยู่ด้วยนั้นจะมีฐานะเป็นบริษัทเอกชน แต่ปตท.เข้าไปดำเนินโครงการดังกล่าวร่วมกับทางมาเลเซีย โดยได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลให้กระทำการแทนรัฐในขณะที่ปตท.มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
นอกจากนั้น ปตท. ยังได้ใช้อำนาจมหาชนเข้าไปรอนสิทธิประชาชนในการเวนคืนและใช้ที่ดินสาธารณะเพื่อวางท่อและสร้างโรงแยกก๊าซ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจที่ค่อนข้างรุนแรง กระทั่งเกิดความขัดแย้งมีการฟ้องร้องตามมา
นางชื่นชม ได้ออกตัวว่าไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ถ้าหากผู้ถูกฟ้องคดีตีความคำพิพากษาอย่างกว้างจะพบว่า ระบบท่อส่งและท่อจำหน่ายต้องคืนรัฐ ทั้งบนบน ในทะเล รวมประมาณ 3,500 กม. รวมทั้งท่อและโรงแยกก๊าซฯ ที่ปตท.เข้าไปร่วมทุนกับมาเลย์ด้วย นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาถึงการใช้อำนาจรัฐและสิทธิที่ปตท.จะแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างประเทศ เช่น เจดีเอไทย-เขมร ที่จะตามมาอีกด้วย
"ยังมีประเด็นสำคัญอย่างยิ่งที่ครม.ไม่พูดถึงเลยก็คือ การแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ ปตท."
นางชื่นชม ยังเปิดเผยข้อมูลรายได้จากค่าผ่านท่อว่าสร้างกำไรอย่างงามให้ปตท. คิดเป็นสัดส่วน 53% ขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ 47% และมีการประกันกำไรสูงมาก ซึ่งหลักเกณฑ์ในการคิดค่าผ่านท่อฯหลังมีคำพิพากษาแล้ว จำเป็นต้องรื้อหลักเกณฑ์ใหม่ เนื่องจากกำไรค่าผ่านท่อฯ ถูกส่งผ่านมาให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นผู้รับภาระ เพราะก๊าซฯ จากปตท. กว่า 70% เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกิจการโรงไฟฟ้า ต้นทุนหลักของค่าไฟจึงมาจากค่าก๊าซที่ปตท.ขายให้กฟผ.ในราคาแพง นอกจากนั้น อำนาจสิทธิขาดในการใช้ประโยชน์จากระบบท่อก๊าซฯ ไม่ควรตกอยู่กับปตท.เพียงเจ้าเดียวโดยเฉพาะระบบท่อก๊าซฯ เส้นที่ 3 และ 4