วันที่ 30 เมษายน 2567 ณ อาคารสำนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่าง การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ บริษัท การท่าเรือ เอฟซี จำกัด อย่างเป็นทางการ โดยมอบสิทธิ์ให้บริหารทีมต่อเนื่องอีก 5 ปี หรือ จนสิ้นสุดในปี 2571
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้สิทธิ์ บริษัท การท่าเรือ เอฟซี จำกัด เข้ามาบริหารทีม ตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้การนำของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ อดีตประธานสโมสรฯ ก่อนปัจจุบันส่งไม้ต่อให้ เฉลิมโชค ล่ำซำ เข้ามาทำหน้าที่แทน ในฐานะประธานสโมสรฯ และ สาระ ล่ำซำ ประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสร
โดยพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นไปด้วยความราบรื่น และ ชื่นมื่น นำโดย “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ อดีตประธานสโมสรฯ ที่ให้เกียรติมาร่วมเป็นสักขีพยาน , เฉลิมโชค ล่ำซำ ประธานสโมสร , สาระ ล่ำซำ ประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสร และ เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวอย่างเนืองแน่น
เฉลิมโชค ล่ำซำ ประธานสโมสร การท่าเรือ เอฟซี กล่าวว่า “ผู้บริหาร การท่าเรือ เอฟซี และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรามีความผูกพันกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามาเป็นประธานสโมสร เมื่อปี 2558 นี่ถือเป็นปีที่ 9 แล้ว ที่เรามีโอกาสเข้ามาบริหารสโมสรแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นเกียรติสำหรับเรา เพราะ การท่าเรือ เอฟซี เป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่มากที่สุดของประเทศไทย มีประวัติศาสตร์ มีตำนาน และ เป็นหนึ่งในสโมสร ที่ผลิตนักกีฬา สู่ ทีมชาติไทย มากที่สุด”
“ในฐานะที่ผม เข้ามาเป็นประธานสโมสรแทน นวลพรรณ ล่ำซำ ต้องยอมรับว่า ไม่ง่าย และ กดดันอยู่บ้าง เพราะสิ่งที่ นวลพรรณ ล่ำซำ ปูรากฐาน ทุ่มเท และ ทำไว้ให้กับสโมสรแห่งนี้ คงเป็นเรื่องยากที่ประธาน สโมสรคนไหน จะทำได้ แต่ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อพาสโมสรแห่งนี้ ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการไปถึงตำแหน่งแชมป์ไทยลีกในสักวัน ที่สำคัญ ต้องขอบคุณ การท่าเรือแห่งประเทศไทย โดย เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ให้โอกาส และ ไว้วางใจให้เราทำหน้าที่บริหารทีมต่อไป อีก 5 ปี”
ขณะที่ สาระ ล่ำซำ ประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสร การท่าเรือ เอฟซี กล่าวว่า “เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้เรา และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย จะเดินหน้าพัฒนาสโมสรแห่งนี้ร่วมกันต่อไป ไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเท่านั้น แต่ยังรวมถึง เรื่องนอกสนาม ที่เราให้ความสำคัญเช่นกัน”
“ทั้งการทำ CSR (กิจกรรมเพื่อสังคม) ต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือผู้คน และ ชุมชนในพื้นที่คลองเตย , การเปิดคลินิคฟุตบอล , การให้โอกาสเยาวชนเข้าสู่อคาเดมีของสโมสร รวมถึง การจับมือเป็นพันธมิตรกับสโมสรในต่างประเทศ เพื่อยกระดับทีมแบบรอบด้าน ทั้งที่สเปน (ลูบันเต้ อูเด) และ ที่ญี่ปุ่น (อวิสป้า ฟุกุโอกะ) ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า เรา และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวิสัยทัศน์การทำงานที่ตรงกัน และ ในฐานะที่ผมเป็นน้องชายของ อดีตท่านประธานสโมสร (นวลพรรณ ล่ำซำ) เหมือนที่เคยบอกไป เรามี DNA ไม่ต่างกัน คือ เรื่องไม่ยอมแพ้ และ ภายใน 5 ปีนี้ เราจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าจะไปถึงแชมป์ไทยลีกครั้งแรก”
ปิดท้ายกันที่ เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำองค์กร ผมอยากเรียนว่า นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากเลยสำหรับเรา เพราะที่ผ่านมา ผู้บริหารสโมสร การท่าเรือ เอฟซี ตั้งแต่ นวลพรรณ ล่ำซำ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทให้สโมสรแห่งนี้มาโดยตลอด นอกจากเข้ามายกระดับทีม จากผลงานที่เห็นในสนามแล้ว ยังเปลี่ยนภาพลักษณ์สโมสรแห่งนี้ ให้เป็นหนึ่งในทีมที่มีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ และ ดึงดูด แฟนฟุตบอลทั้งชาวไทย และ ชาวต่างชาติ มากที่สุด รวมถึง เรายังมีแนวคิด และ วิสัยทัศน์การทำงานที่ตรงกัน นั่นคือ เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนอกสนามด้วย และ หลังจากนี้ เราก็ยังมีแผนความร่วมมือต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของสโมสร”
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้สิทธิ์ บริษัท การท่าเรือ เอฟซี จำกัด เข้ามาบริหารทีม ตั้งแต่ปี 2558 สิงห์เจ้าท่า ก็ยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์เต็มตัว มีผลงานดีสุดคว้าอันดับ 3 ไทยลีก , คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย ในปี 2019 และ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อเนื่องถึง 4 ปีติดต่อกัน ขณะที่ปัจจุบัน ก็ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย รีโว่ คัพ ครั้งแรกในรอบ 14 ปี ต่อจากปี 2010 โดยจะมีการจับสลากประกบคู่ ในรอบรองชนะเลิศ วันที่ 2 พฤษภาคม 2567