“สิงโตคำราม” อังกฤษ ยุคนี้ถือว่ามีตัวเลือกค่อนข้างเยอะ แน่นอนคือเรื่องที่ดี แต่ก็สร้างความหนักใจให้กุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่น้อย ยิ่งนับถอยหลังใกล้ทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ที่ถูกเลื่อนมาจัดขึ้้นในปี 2021 ระหว่างวันที่ 11 มิถุนายนถึง 11 กรกฎาคมนี้
ในส่วนของดาวรุ่งมีหลายต่อหลายคนเตะตา หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหนู เอมิล สมิธ โรว์ กองกลางตัวรุกที่ได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องจาก มิเกล อาร์เตตา กุนซือ “ปืนโต” อาร์เซนอล แจ้งเกิดระดับสโมสรสำเร็จไปแล้ว เหลือก็แค่ประตูทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เปิดต้อนรับเท่านั้น
สมิธ โรว์ เกิดที่ ครอยดอน เป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ก่อนที่จะเข้ามาอยู่กับ อาร์เซนอล ในระดับเยาวชนตั้งแต่ปี 2010 ขณะนั้นมีอายุเพียง 10 ขวบ ก่อนจะได้รับโอกาสลงเล่นชุดใหญ่เมื่อปี 2018 ในศึก ยูโรปา ลีก จากนั้นถูกปล่อยให้กับ ไลป์ซิก กับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ ยืมตัวตามลำดับ
อาร์เตต้า เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ อาร์เซนอล กลางเดือนธันวาคมปี 2019 ก่อนจะสร้างความฮือฮาได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยการชนะ เชลซี 2-1 จากนั้นเข้าสู่ฤดูกาล 2020-21 ท่ามกลางความหวังของแฟน “เดอะ กันเนอร์ส” แม้จะเปิดหัวได้แชมป์ เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ด้วยการชนะจุดโทษ ลิเวอร์พูล แต่จากนั้นผลงานก็ไม่สู้ดีนัก
จนมาถึงปลายปี 2020 ความกดดันถาโถมเมื่อ อาร์เซนอล แพ้คาบ้านแก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี 1-4 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย คาราบาว คัพ ขณะที่ในศึก พรีเมียร์ ลีก ไม่ชนะมา 7 นัดติดต่อกันอันดับเริ่มที่จะดำดิ่ง แต่จุดเปลี่ยนก็คือ อาร์เตต้า ปรับทัพให้ สมิธ โรว์ ออกสตาร์ทบทบาทจอมทัพเบอร์ 10 ก่อนจะเปิดบ้านชนะ เชลซี 3-1
จากนั้น สมิธ โรว์ ได้รับโอกาสต่อเนื่อง 5 เกมถัดมาทำ 3 แอสซิสต์และยิงได้ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 เปิดบ้านต่อเวลาชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-0 และล่าสุดกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในเกมลีกลอนดอนดาร์บี้ได้รับแมน-ออฟ-เดอะ-แมตช์ ช่วย อาร์เซนอล เปิดบ้านชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-1
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ สมิธ โรว์ เริ่มได้ฉายาว่า “เดอ บรอยน์ แห่ง ครอยดอน” คือการถูกยกไปเทียบกับ เควิน เดอ บรอยน์ ตัวปั้นเกมระดับเวิลด์คลาสของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ขณะที่ คีแรน เทียร์นีย์ แบ็กซ้าย อาร์เซนอล ยังแอบแซวเพื่อนร่วมค่ายบ่อยๆ ด้วยการเรียกว่า เควิน
แน่นอนแม้ว่า สมิธ โรว์ จะยิ้มแก้มปริและปลาบปลื้มกับฉายา “ครอยดอน เดอ บรอยน์” นอกจากนี้ เจ้าหนูรายนี้ยังทำให้สาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ลืมไปแล้วว่าทีมนั้นเคยมี เมซุต โอซิล จอมทัพทีมชาติเยอรมนี แต่ทางด้าน อาร์เตต้า ก็ไม่อยากให้นักเตะวัยเพียง 20 ปีรู้สึกกดดันจนเกิดไป
ส่วนทีมชาติอังกฤษ สมิธ โรว์ ติดธงมาแล้วทุกระดับตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ผลงานโดดเด่นคือรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ไปคว้าแชมป์โลกปี 2017 ด้วยการชนะ สเปน 5-2 ขุนพลชุดนั้นมี ริอาน บรูว์สเตอร์ อดีตดาวยิง ลิเวอร์พูล กับ ฟิล โฟเดน ดาวดัง แมนเชสเตอร์ ซิตี เป็นแกนหลัก ปีนั้นยังไปได้รองแชมป์ ยูโร 2017 รอบชิงแพ้จุดโทษ สเปน 1-4 หลังจากเสมอกัน 2-2
สมิธ โรว์ มองว่าส่วนตัวช่วงเวลาที่ขัดเกลาให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งขึ้นคือตอนยืมตัวเริ่มจากที่ ไลป์ซิก ในปี 2019 “มันลำบากมาก เพราะคุณต้องไปประเทศใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่และภาษาใหม่ ไม่มีใครรู้จักคุณเลยในวัย 18 ปีที่เยอรมัน ภาษาผมแย่มากขึ้นพูด 2-3 คำและถูกหัวเราะเยาะในห้องแต่งตัว แต่ไม่เคยเสียใจเลย ประสบการณ์ทำให้ผมมีวันนี้”
จากนั้นต้นปี 2020 ไปอยู่กับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ที่ต้องช่วยในการหนีตกชั้นจาก แชมเปียนชิป ซึ่งก็ทำได้สำเร็จ “ที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผม ทำให้ผมแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจจนมั่นใจขึ้น เพราะคุณต้องสู้ทุกสัปดาห์ทุกเกมบดบี้เพื่อผลลัพธ์ในการอยู่รอด แถมยังต้องเข้าปะทะหนักๆ กับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามตลอด”
สมิธ โรว์ นั้นถูกมองว่าคล้ายกับ แซร์จ กนาบรี ที่เคยถูกมองว่าล้มเหลวครั้งหนึ่งโดนปล่อยไปยืมตัวอยู่กับ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน แต่ตอนนี้ อาร์เซนอล ปล่อยหลุดมือให้กับ บาเยิร์น มิวนิก จนกลายเป็นแกนหลักพา “เสือใต้” คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงจองพื้นที่ในทีมชาติเยอรมนีไปแล้ว
กรณีของ กนาบรี ถือว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งและคือตัวอย่างชั้นดีของผู้เล่นที่ดิ้นรนต่อสู้จนกลับมาจากความพ่ายแพ้ได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้ อาร์เซนอล มีผู้เล่นพรสวรรค์อยู่ในมืออีกหนึ่งคนอย่าง สมิธ โรว์ ก็หวังว่าจะปลุกปั้นและไม่ปล่อยหลุดมือไปอีกราย ขณะที่เบอร์ 10 ที่ว่างอยู่นั้นก็ดูเหมือนจะมีคนที่พร้อมเสียบแล้ว