คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
ลืมตาขึ้นช่วงเช้าวันเสาร์ (15 ส.ค.) ด้วยข่าวช็อกโลกลูกหนัง บาร์เซโลนา แชมป์ 5 สมัย ถูก บาเยิร์น มิวนิก แชมป์ บุนเดสลีกา ถล่มยับเยิน 2-8 ศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เปรียบตามชื่อชั้น ทั้งคู่ถือว่าอยู่ระดับท็อปของยุโรป และเป็นมวยถูกคู่คนดูถูกใจ แต่ถ้าวัดด้วยผลงานระดับประเทศ ย่อมเห็นความแตกต่างกันลิบๆๆๆ ระหว่าง วัน แมน ทีม กับ ทีมเวิร์ก
บาเยิร์นฯ แข็งแกร่งทุกขุมกำลัง บวกกับ ฮันซี ฟลิค อดีตมือขวาทีมชาติเยอรมนี เป็นโค้ชที่ใช่สำหรับ ทำให้ฟอร์มไร้เทียมทาน ครองถาดแชมป์ บุนเดสลีกา แบบไร้ปัญหา ผิดกับสมัย นิโก โควัช ที่มักลุ่มๆ ดอนๆ ส่วน บาร์ซา บอกได้แค่ว่า วันไหนขาด ลิโอเนล เมสซี กัปตันทีม เท่ากับขาดใจ
เช้าวันนี้ (19 ส.ค.) ก็เช่นกัน แฟนๆ บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ทราบแล้วว่า การแข่งขันเพลย์ออฟ เริ่มขึ้นแล้ว วันแรก (18 ส.ค.) เดนเวอร์ นักเก็ตส์ กับ แอลเอ คลิปเปอร์ส 2 ทีมท็อปโฟร์สายตะวันตก และ โตรอนโต แร็ปเตอร์ส แชมป์เก่า กับ บอสตัน เซลติกส์ ทีมอันดับ 3 เปิดซีรีส์ด้วยชัยชนะตามคาด ทว่าวันต่อมา มิลวอคกี บัคส์ ทีมสถิติดีสุดของลีก กลับพ่าย ออร์แลนโด แมจิก ด้วยช่องว่างเลข 2 หลัก 122-110
ขอวกกลับมาที่ “บาร์ซา” พวกเขามัวแต่ตั้งธงหาใครจะมาประสานงานกับ เมสซี และ หลุยส์ ซัวเรซ แทน เนย์มาร์ จูเนียร์ จนหมดเงินก้อนโต ไม่ว่าจะเป็น อูสมาน เดมเบเล , ฟิลิปเป คูตินโญ และ อองตวน กรีซมันน์ จวบถึงปัจจุบันทุกคนต่างสอบตกกันหมด แทนที่จะมองหาคนมารับบทจอมทัพแดนกลางแทน อันเดรียส อิเนียสตา หรือ ชาบี เฮร์นานเดซ 2 ตำนานสโมสร
การเล่นของ “เจ้าบุญทุ่ม” สะท้อนถึง ทีมชาติอาร์เจนตินา ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เมสซี พยายามทำทุกอย่างเพื่อแบกทีม ต้องถอยมาล้วงบอล แล้วเลี้ยงลุยไปเอง เปรียบเทียบกรณี บาร์ซา หรือ “ฟ้าขาว” มีคนคอยคุมจังหวะแดนกลาง หรือคอยขับเคลื่อนเกมรุก เมสซี จะมีหน้าที่แคหาพื้นที่ว่างแดนรุก พอจะเลี้ยงกินตัว ย่อมมีสิทธิ์เผชิญสถานการณ์แบบ 1 ต่อ 1 น่าจะเล่นง่ายกว่าเยอะ
เช่นเดียวกับ บัคส์ สิ่งที่น่ากังวล ไม่ได้แตกต่างจากฤดูกาลที่แล้ว เวลานึกถึง “เจ้ากวาง” ทุกครั้ง ก็ย่อมนึกถึง ยานนิส อันเตโตคุมโป ฟอร์เวิร์ดชาวกรีซ ทุกครั้ง เพราะเขาเปรียบเสมือนแกนหลักของทีม หากระเบิดฟอร์มเหนือมนุษย์ครั้งใด ย่อมมีโอกาสเก็บชัยชนะสูง ขณะที่ขุมกำลังรายล้อมฝีมือยังจัดว่าระดับกลางๆ ผิดกับ 2 คู่หูมหากาฬแห่ง ลอส แองเจลิส พอล จอร์จ กับ คาไว เลียวนาร์ด ของ คลิปเปอร์ส หรือ เลอบรอน เจมส์ กับ แอนโธนี เดวิส ของ เลเกอร์ส
รีวิวเกม 1 ภายใน “บับเบิล” ที่ดิสนีย์ เวิลด์ “กรีก ฟรีก” ยังคงเส้นคงวา ส่อง 31 แต้ม 17 รีบาวน์ด 7 แอสซิสต์ เทียบค่าเฉลี่ยฤดูกาลปกติ 29.5 แต้ม 13.6 รีบาวน์ด 5.6 แอสซิสต์ ขาดแค่คนสนับสนุนที่ไม่ได้แบ่งเบาภาระสักเท่าไรอย่าง คริส มิดเดิลตัน ฟอร์เวิร์ดดีกรี ออล-สตาร์ จัดไปแค่ 14 แต้ม 6 รีบาวน์ด 4 แอสซิสต์ ยิงฟิลด์โกลเข้าเป้าแค่ 4 จาก 12 ครั้ง หรือเป็น 33.3 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นความแตกต่างอย่างมหาศาลระหว่าง 2 ผู้เล่นดีสุดของทีม
หวนนึกถึงบทสัมภาษณ์หลังเกมของ ลูกา ดอนซิช ความหวังหนึ่งเดียวแห่งหมู่บ้าน ดัลลัส มาเวอริกส์ พูดถึงการเอาตัวรอดจากเกมป้องกันแบบ “ดับเบิล-ทีม” สรุปสั้นๆ ว่า บาสเกตบอล เล่นกัน 5 คน เวลาคู่ต่อสู้รุม 2 หรือ 3 ก็แค่มองหาคนว่าง แล้วส่งบอลไปตรงจุดนั้น เพื่อนร่วมทีมก็จะเล่นง่ายขึ้น หรือย้อนอดีตสมัยผมเริ่มทำงานใหม่ สถิติที่น่าสนใจของ โคบี ไบรอันท์ คือ เกมๆ หนึ่งหากทำได้สักเกือบ 10 แอสซิสต์ และทำคะแนนหลัก 20 กว่าๆ เลเกอร์ส มักจะชนะ แต่เกมไหน หากทำคะแนนสัก 30-40 แต้ม กับแอสซิสต์ต่ำๆ ผลลัพธ์ก็จะตรงกันข้าม
สถานการณ์ของ “กรีก ฟรีก” กับ เมสซี เหมือนๆ กัน คือ ไม่นานมานี้ เมสซี เพิ่งมีข่าวลือว่า จะอำลาถิ่น คัมป์ นู ก่อนถูกกระแสแต่งตั้ง โรนัลด์ คูมัน ลูกหม้อของ “บาร์ซา” รับตำแหน่งกุนซือ ส่วนกรณี ยานนิส หาก บัคส์ ยังล้มเหลวอีกครั้งฤดูกาล 2019-20 ย่อมถูกเชื่อมโยงกับประเด็นที่ว่า จะเป็นฟรีเอเจนต์ ปี 2021 หากฝ่ายบริหาร บัคส์ ปล่อยให้ ยานนิส เป็น “เดอะ แบก” เหมือนทุกวันนี้ ก็อาจถึงจุดที่ต้องแยกทางกันเพื่อแชมป์