คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) กลับมาแข่งต่อฤดูกาล 2019-20 ภายใน “บับเบิล” ที่ดิสนีย์ เวิลด์ เกือบครบ 1 สัปดาห์ ฟาก อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ยังไม่ทราบว่าจะเปิดฤดูกาล 2020 ได้หรือไม่ หลังมีประกาศยกเลิกเกม พรีซีซัน เรียบร้อยแล้ว เอาเถอะ ขนาดผู้นำประเทศยังรับมือไม่ไหว แล้วคนแค่ ประธานลีก จะไปต้านทานไวรัสได้อย่างไร หากอ้างอิงตามโพลล์สำรวจ คนอเมริกัน ยังไม่เชื่อเลยว่า NFL หรือแม้กระทั่งฟุตบอลมหาวิทยาลัย จะแข่งขันตามปกติได้
หากมองอีกมุมหนึ่ง NFL อาจพิจารณา “บับเบิล” ของ NBA แล้วอาจจะลอกข้อสอบกันมาก็เป็นได้ จริงๆ ตามไทม์ไลน์ ก็อาจต้องรอ ดิสนีย์ เวิลด์ ว่างเสียก่อน เพราะตอนนี้มีทั้ง บาสเกตบอล กับ เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ (MLS) แข่งกันอยู่ หากมีนักกีฬาคนชนคน บวกเข้าไปอีกทีมละ 53 คน คงจะแออัดน่าดู และกลายเป็นพื้นที่ความเสี่ยงสูง ทั้งที่รัฐฟลอริดา ก็มีผู้ติดเชื้อมิใช่น้อย
สัปดาห์นี้ต้องขอวนมาที่เรื่องราวของ แอรอน ร็อดเจอร์ส ควอเตอร์แบ็ก กรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส หลังเพิ่งปล่อยเรื่องราวความรักในอดีตของเขามาแล้ว มาวันนี้ดูเหมือนอนาคต ที่แลมโบ ฟิลด์ ของผู้เล่นแห่งแฟรนไชส์รายนี้ ชักจะไม่แน่นอน หากยังจำกันได้ วันดราฟต์ของ NFL เดือนเมษายนที่ผ่านมา แพ็คเกอร์ส คัดเลือก จอร์แดน เลิฟ ควอเตอร์แบ็กหนุ่มจาก มหาวิทยาลัย ยูทาห์ สเตท ทั้งๆ ที่ ร็อดเจอร์ส เหลือสัญญาถึงจบฤดูกาล 2023 และแน่นอนว่า นี่คือสัญญาณบ่งชี้ว่า กำลังจะหมดเวลาของ จอมทัพวัย 36 ปี เสียแล้ว
แรกเริ่มความสัมพันธ์ยังคงดูดี ร็อดเจอร์ส ยังไม่แสดงความเห็นใดๆ ต่อความเคลือนไหวของทีม อย่างไรก็ตาม ร็อดเจอร์ส มีการติดต่อกับ เลิฟ แบบส่วนตัว หลังจบการดราฟต์ ซึ่ง รุกกีวัย 21 ปี เปิดเผยกับบ อีเอสพีเอ็น (ESPN) “ผมพูดคุยกับเขามาล่วงหน้าแล้ว คุณรู้ไหม เขาน่ารักจริงๆ เขาแสดงความยินดีกับผม และผมแสดงออกให้เขารู้ว่า ผมตื่นเต้นเหลือเกินที่ได้ร่วมงานกับเขา”
เหตุการณ์ลักษณะนี้ แฟนๆ NFL โดยเฉพาะสาวก “หัวเนยแข็ง” น่าจะยังมิลืม โดยเฉพาะ ร็อดเจอร์ส ซึ่งเคยอยู่ในสถานะเดียวกับ เลิฟ สมัยถูก แพ็คเกอร์ส คัดเลือกปี 2005 ด้วยความหวังจะเป็นตัวตายตัวแทน เบร็ตต์ ฟาฟร์ ควอเตอร์แบ็กระดับตำนาน ระยะยาว เป็นเหตุให้ ฟาฟร์ ไม่พอใจที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง พยายามแย่งชิงตัวจริง กลายเป็นความขัดแย้งภายในมายาวนาน และจบด้วย ฟาฟร์ ย้ายไป นิว ยอร์ก เจ็ตส์ เมื่อปี 2008
ถึงแม้ ร็อดเจอร์ส ยังพออุ่นใจว่า เลิฟ คงจะไม่สามารถแย่งตำแหน่งภายใน 2-3 ปีนี้ บวกกับผลงานที่โดดเด่น ขว้างเกิน 4,000 หลา คอมพลีต 62 เปอร์เซ็นต์ และ 26 ทัชดาวน์ สิ่งที่ผู้บริหาร แพ็คเกอร์ส ควรจะทำ คือ สร้างขุมกำลังล้อมรอบ ร็อดเจอร์ส เช่น รันนิงแบ็ก , ปีกนอก , ไทต์เอนด์ หรือหาเสริมแกร่งทีมรับ มากกว่า หาคนมานั่งเป็นหอกข้างแคร่ แต่ด้วยคำอุปมาอุปไมยว่า เหรียญมี 2 ด้าน บางทีการดราฟต์ 2020 อาจเป็นโอกาสที่จะหาคนทดแทนได้ดีสุด ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ค่อยหาเอาทีหลัง
เปรียบเสมือน เชลซี ที่เหล่าสาวก “เดอะ บลูส์” มักวิจารณ์กันว่า เฮ้ย ตอนนี้ทีมต้องการกองหลัง กับ ผู้รักษาประตู เพื่อแก้ปัญหา ทำไมจึงมีแต่ข่าวกับพวกตัวรุกอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ ทั้งๆ ที่มีแดนหน้ามีทั้ง ติโม แวร์เนอร์ กับ ฮาคิม ซิเยค เข้ามาเสริมแล้ว คำตอบ คือ หากไม่เซ็น ฮาเวิร์ตซ ตอนนี้ แล้วจะเอาตอนไหน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ไม่ติดพื้นที่ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ก็มีแรงกระตุ้นให้ย้ายทีมอยู่แล้ว แถม บาเยิร์น มิวนิก ก็เพิ่งทุ่มเงินคว้า เลรอย ซาเน คงจะไม่ซื้อใครแพงๆ อีกแน่ ขณะที่พวกแนวรับเจ๋งๆ ก็ไม่ค่อยมีทีมไหนอยากปล่อย ก็เลยยิงตุนไว้เยอะๆ ดีกว่า 555
สำหรับ ร็อดเจอร์ส เคยเปรยๆ ไว้ว่า เขาต้องการเล่นจนอายุเลยเลข 4 เหมือนอย่าง ดรูว์ บรีส์ หรือ ทอม เบรดี หากยึดตามการคาดเดาของสื่อเมืองนอก สรุปอนาคตของ ร็อดเจอร์ส ไว้ว่า อาจถูกปล่อยทิ้ง หรือเทรดออก ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า หากคิดตามมุมองของแฟนคนหนี่ง ไม่ว่าจะจากกันด้วยดีหรือไม่ มันก็เป็นตอนจบที่ไม่สวยของคนที่ถูกเรียกว่า “แฟรนไชส์ เพลเยอร์” แต่บนวิถีมืออาชีพ บางครั้งมันก็ไม่ได้จบแบบ แฮปปี เอนดิง ดังนิยายเสมอไป