ย้อนไปปลายทศวรรษ 90 ช่วงนั้นพลังหนุ่มของ ลีดส์ พุ่งขึ้นมาท้าทาย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซนอล ที่เรืองอำนาจเบียดแย่งแชมป์ พรีเมียร์ ลีก กันอยู่แค่ 2 ทีม รวมถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ฝ่าด่านอรหันต์เข้าถึงรอบรอบชนะเลิศเมื่อปี 2001
แล้วทำไมทีมที่มีศักยภาพอย่างที่เอ่ยตอนนี้ถึงหายไปจากสารบบของฟุตบอลอังกฤษ?
ฤดูกาล 1997-98 ลีดส์ ภายใต้การคุมทัพของ จอร์จ เกรแฮม จบอันดับ 5 พรีเมียร์ ลีก กระนั้นก็ตามโมเมนตัมที่กำลังไปได้สวยต้องเจอกับข่าวที่ว่ากุนซือทิ้งไปกุมบังเหียน ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 1998
แต่การเข้ามาคุมทัพแทนของ เดวิด โอ'เลียรี่ ผลงานดีเกินคาดฤดูกาลถัดมาคือ 1998-99 จบอันดับ 4 คว้าโควตาไปเล่น ยูฟ่า คัพ
ลีดส์ ยุคนั้นผสมผสานตัวเก๋ากับดาวรุ่ง เมื่อผลงานโดยรวมของทีมดีขึ้น ทำให้นักเตะหลายคนเริ่มเป็นที่รู้จักและจับตามอง ทีมลงตัวในทุกขุมกำลัง ไม่ว่าจะเป็นผู้รักษาประตู ไนเจล มาร์ติน กับ พอล โรบินสัน
กองหลังมีจอมเก๋า ลูคัส ราเดเบ้, ซ้ายฟ้าสั่งอย่าง เอียน ฮาร์ท, โจนาธาน วูดเกต, แกรี่ เคลลี่
กองกลางมีแข้งพันธุ์สไตล์อังกฤษแท้อย่าง เดวิด แบ็ตตี้ กับ ลี โบวเยอร์ รวมถึง อัล์ฟ-อิงเก้ ฮาแลนด์
ตัวรุกถือว่าครบเครื่องสุดๆ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงก์, แฮร์รี่ คีเวลล์ และ อลัน สมิธ
จนกระทั่งฤดูกาล 1999-2000 จบที่ 3 คว้าโควตาไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งตอนนั้นถือว่ายากมาก เพราะ พรีเมียร์ ลีก สมัยนั้นมีตั๋วแค่ 3 ใบ โดยต้องไปเล่นรอบคัดเลือกก่อน ส่วนแชมป์กับรองแชมป์ คือ แมนฯยู กับ อาร์เซนอล ได้เข้าแบ่งกลุ่มอัตโนมัติ
- ยุคเฟื่องฟูของ ลีดส์ -
ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นเงินส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด พรีเมียร์ ลีก ไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ ยิ่งทีมอันดับต่ำๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงได้เงินเพียงแค่น้อยนิด
เงินที่จะเข้าสู่สโมสรมาจากการขายนักเตะหรือได้สิทธิ์เล่นฟุตบอลยุโรปเท่านั้น
เมื่อได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2000-01 โอ'เลียรี่ จึงเสริมทัพที่สร้างความฮือฮา คือ คว้า ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาจาก เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด ถือเป็นสถิติกองหลังแพงที่สุดในโลก 18 ล้านปอนด์ ณ เวลานั้น
ยังมี โอลิวิเยร์ ดากูร์ กองกลางฝรั่งเศสมาจาก ล็องส์ ค่าตัว 7.2 ล้านปอนด์
มาร์ค วิดูก้า กองหน้าออสเตรเลียจาก กลาสโกว์ เซลติก ค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์
โดมินิก มัตเตโอ กองหลังจาก ลิเวอร์พูล ค่าตัว 4.75 ล้านปอนด์
ร็อบบี้ คีน กองหน้าจาก อินเตอร์ มิลาน ค่าตัว 12 ล้านปอนด์ รายนี้ยืมตัวมาก่อนจากนั้นจึงซื้อขาดตอนปี 2001
สรุปฤดูกาล 2000-01 ลีดส์ เสริมทัพ 43.7 ล้านปอนด์ ขายไป 12.9 ล้านปอนด์ เท่ากับว่า ใช้เงินไป 30.75 ล้านปอนด์
เงินที่ลงทุนไปแลกกับผลงานยอดเยี่ยมในถ้วยยุโรป คือ โอ'เลียรี่ พา ลีดส์ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกตามหลัง เอซี มิลาน โดยเขี่ย บาร์เซโลน่า ตกไปอยู่ที่ 3 ต้องเล่น ยูฟ่า คัพ
มาถึงรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง ลีดส์ อยู่กลุ่มเดียวกับ รีล มาดริด, อันเดอร์เลชท์ และ ลาซิโอ ซึ่งก็ตาม “ราชันชุดขาว” เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อีก
รอบ 8 ทีมสุดท้ายเด็กคะนองของ ลีดส์ ผ่าน เดปอร์ติโว ลา คอรุนญ่า รวม 2 นัดชนะ 3-2 การเข้ารอบตัดเชือกของ “ยูงทอง” ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1975 เลยทีเดียว
ย้อนไปปี 1975 ลีดส์ ได้เข้าชิงถ้วยยุโรปก่อนจะแพ้ บาเยิร์น มิวนิก ที่มีทั้ง เซปป์ ไมเออร์, ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์, เกิร์ด มุลเลอร์ และ คาร์ล-ไฮน์ซ รุมเมนิเก้ ไปด้วยสกอร์ 2-0
ลีดส์ จอดป้ายถ้วยยุโรปปีนั้นแค่รอบตัดเชือก เพราะรวม 2 นัดแพ้ บาเลนเซีย 0-3 โดย “เจ้าค้างคาว” ปีนั้นมีแข้งระดับพระกาฬทั้ง กาอิซก้า เมนดิเอต้า, ยอห์น คาริว, รูเบน บาราฆ่า, คิลี่ กอนซาเลซ, เมาริซิโอ เปเยกริโน, พาโบล ไอมาร์, ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส และ ดาบิด อัลเบลด้า
- แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ ลีดส์ -
ยุคนั้นประธานสโมสรของ ลีดส์ คือ ปีเตอร์ ริดส์เดล ที่เข้ามานั่งเก้าอี้เมื่อปี 1997 กู้เงินมหาศาลถึง 60 ล้านปอนด์ มาทำทีม หลังจากได้เข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมหวังว่าจะถอนทุนคืนจากการได้ลงเตะถ้วยยุโรปอย่างต่อเนื่องทุกปี
แต่หายนะคือฤดูกาล 2000-01 ที่เข้ารอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ใน พรีเมียร์ ลีก กลับจบที่ 4 ตามหลัง ลิเวอร์พูล แต้มเดียว ซึ่งได้ไปเล่นเพียงแค่ ยูฟ่า คัพ เท่านั้น
ซัมเมอร์ปี 2001 โอ'เลียรี่ เสริมทัพสู้ควัก 9 ล้านปอนด์ คว้า เซ็ธ จอห์นสัน กองกลางจาก ดาร์บี้ เคาน์ตี้ และ 11 ล้านปอนด์คว้า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กองกลางจาก ลิเวอร์พูล แต่ฤดูกาล 2001-02 ทีมจบแค่ที่ 5 เท่านั้นยังไม่ได้กลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก
หลังจากไม่ได้เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ปีซ้อน ทำให้รายได้ของ ลีดส์ ไม่เพียงพอที่จะชำระคืนเงินกู้ สัญญาณเริ่มเตือนด้วยการขาย ริโอ ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 30 ล้านปอนด์
โอ'เลียรี เริ่มไม่พอใจที่ทีมขาย ริโอ ขณะที่ ริดส์เดล ก็จวกคืนกุนซือของทีมที่ใช้เงินไปราว 100 ล้านปอนด์ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เรื่องแดงถึงสื่อทำให้ โอ'เลียรี่ ถูกไล่ออกในที่สุดและเป็น เทอร์รี่ เวเนเบิลส์ ที่ถูกดึงเข้ามาคุมทีมหวังกอบกู้วิกฤตครั้งนี้
เวเนเบิลส์ ได้รับสัญญาจาก ริดส์เดล ว่าจะไม่ขายใครอีก แต่เมื่อเงินไม่พอนักเตะที่ถูกขายแลกกับเงินเพื่อพยุงทีมก็มี ร็อบบี้ คืน 7 ล้านปอนด์ ไปอยู่กับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, โจนาธาน วูดเกต ไปอยู่กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 9 ล้านปอนด์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 ล้านปอนด์
ความตึงเครียดมาเยือน เวเนเบิลส์ คุมได้แค่ 8 เดือน ถูกไล่ออกเป็น ปีเตอร์ รีด เข้ามาแทน จากนั้น ริดส์เดล ก็ลาออก ฤดูกาลนั้น 2002-03 ทีมจบที่ 15 อยู่รอดแบบหวุดหวิด
- วันที่มืดมิดที่สุดสู่วันที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง -
ทีมที่มีปัญหารุมเร้าขนาดนั้นจะมีสมาธิเตะฟุตบอลได้อย่างไร ฤดูกาล 2003-04 ลีดส์ จบที่ 19 ต้องตกชั้นจาก พรีเมียร์ ลีก หลังจาก 14 ปีที่ได้เล่นลีกสูงสุดมาตลอด
จากยุคเฟื่องฟูของ ลีดส์ แต่การบริหารทำให้ทีมเป็นหนี้ 103 ล้านปอนด์ สู่วันที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์
ลีดส์ ล้มลุกคลุกคลานขึ้นๆ ลงๆ อยู่ลีกล่างถึง 16 ปี แต่ตอนนี้การันตีแชมป์ แชมเปียนชิป ได้เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ ลีก แน่นอนแล้ว ภายใต้บังเหียนของ มาร์เซโล บิเอลซ่า และเจ้าของที่เป็นกลุ่มทุนจากอิตาลี คือ อันเดรีย ราดริซซานี่
โดย ราดริซซานี่ นักธุรกิจชาวอิตาเลี่ยน เกือบจะถอดใจขาย ลีดส์ ทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งฤดูกาลที่แล้ววืดเลื่อนชั้น เนื่องจาก บิเอลซ่า สั่งให้ลูกทีมยอมเสียประตูเกมเสมอ แอสตัน วิลล่า 1-1 เพราะก่อนหน้านี้ทีมได้ขึ้นนำจากเหตุการณ์ที่นักเตะฝั่งตรงข้ามนอนเจ็บอยู่กลามสนาม เรียกได้ว่าเป็นการแสดงสปิริตลูกหนังอย่างแท้จริงจนได้รับคำชมอย่างล้มหลาม
ส่วนตอนนี้ ลีดส์ กลับสู่ พรีเมียร์ ลีก แล้ว ไม่ใช่แค่แฟนบอล “ยูงทอง” เท่านั้นที่ชื่นมื่น แต่รวมถึงสาวกทีมอื่นที่ได้อยู่ในช่วงความเฟื่องฟูของทีมและเห็นการล่มสลายไปเพราะเงิน แต่ว่าก็กลับได้ด้วยสปิริตล้วนๆ
นอกจากนี้ ลีดส์ เพิ่งฉลองครบ 100 ปีก่อตั้งสโมสรไปเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นการเลื่อนชั้นและกลับมาที่สมบูรณ์แบบจริงๆ...