เอเยนซี - ศึก “เวิลด์ คัพ 2018” ดำเนินมาถึงรอบชิงชนะเลิศที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคมนี้ตอน 4 ทุ่มตามเวลาประเทศไทยส่งตรงจาก ลุซนิกี้ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยเป็นการพบกันระหว่าง “ตราไก่” ฝรั่งเศส แชมป์โลกปี 1998 กับ “ตาหมากรุก” โครเอเชีย
ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกในรอบชิงฟุตบอลโลก แต่แมตช์ที่ติดตาและต้องถูกนำมาพูดถึงคือรอบตัดเชือกปี 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ ซึ่งตกเป็นรองไปก่อนจากการยิงของ ดาวอร์ ซูเคอร์ ตำนานหอก โครเอเชีย ก่อนที่ ลิลิยอง ตูราม แบ็กขวาจะเหมา 2 ประตูแซงชนะ 2-1 ส่ง “ตราไก่” ก้าวไปเป็นแชมป์โลกสมัยแรกด้วยการที่นัดชิงถล่ม บราซิล 3-0
ฝรั่งเศส ถือเป็นการเข้าชิงหนที่ 3 ต่อจากปี 1998 กับ 2006 ที่แพ้จุดโทษ อิตาลี 3-5 ช่วง 120 นาทีเสมอ 1-1 พร้อมกับมีเฮดบัตต์บันลือโลก ซีเนอดีน ซีดาน โดนใบแดงนาที 110 จากการไปเล่นนอกเกมใส่ มาร์โก มาเตรัซซี่ ส่วน โครเอเชีย เป็นการชิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่แยกจาก ยูโกสลาเวีย เมื่อช่วงปี 1990
เกมนี้ ฝรั่งเศส ถูกมองว่าเหนือกว่าด้วยการที่ 6 นัดที่ผ่านมา ยังไม่แพ้ใครเลย แถมรอบน็อกเอาต์ชนะในเวลาทั้งหมด เรียกได้ว่าสภาพร่างกายดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังพักมากกว่า 1 วันด้วยการเฉือน เบลเยี่ยม 1-0 มาในรอบตัดเชือก ส่วน โครเอเชีย รอบแบ่งกลุ่มชนะ 3 นัดรวด ตามด้วยรอบน็อกเอาต์ที่ชนะจุดโทษ เดนมาร์ก กับ รัสเซีย ก่อนที่จะมาเล่น 120 นาทีรอบรองชนะเลิศบด อังกฤษ 2-1
แม้ว่าสภาพร่างกายของ โครเอเชีย จะดูเป็นรอง แต่ว่ารอบตัดเชือกก็บดกับแข้งพลังหนุ่มของ อังกฤษ แบบอยู่หมัด เรียกได้ว่าลบคำสบประมาทไปได้พอสมควร ซึ่ง ซลัตโก้ ดาลิช นายใหญ่ “ตาหมากรุก” ก็ยอมรับว่าสภาพสดไม่เท่า ฝรั่งเศส แต่หัวใจเกินร้อยทุกคนอยากเล่นไม่อยากถูกเปลี่ยนออก
ทั้งสองทีมไม่มีปัญหาในการจัดทัพเรียกได้ว่าฟูลทีมสุดๆ ฝรั่งเศส ได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่มีพลังขับเคลื่อนสูง โดยกองหลังก็ลงตัวมี ราฟาเอล วาราน กับ ซามูเอล อุมติตี้ กองกลางมี เอ็น'โกโล่ ก็องเต้ กับ ปอล ป๊อกบา ที่มีทั้งความสด แข็งแกร่ง และรวดเร็ว ประกอบกับแนวรุกอย่าง อองตวน กรีซมันน์ กับ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่ซัดไปแล้วคนละ 3 ประตูก็ฝีเท้าจัดจ้าน คอยป้อนบอลให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ คนเดียวที่ถูกวิจารณ์ เพราะใช้โอกาสเปลืองแล้วยังยังไม่ได้เลย
ทางด้าน โครเอเชีย ก็เล่นระบบเหมือนกัน คือ 4-2-3-1 คีย์แมนของทีม คือ ลูก้า โมดริช ที่จะยืนสูงคอยเชื่อมเกม ปล่อยให้ อิวาน ราคิติช กับ มาร์เซโล โบรโซวิช อยู่หน้าแบ๊กโฟร์ โดยมี อิวาน เปริซิช ที่ยิง 2 ประตู 3 อีเวนต์เมเจอร์ติดต่อกันคือบอลโลก 2014, ยูโร 2016 และบอลโลก 2018 ปั้นเกมร่วมกับ อันเต้ เรบิช จ่ายบอลให้ มาริโอ มานด์ซูคิช
โมดริช ได้รับการยกย่องในบอลโลกหนนี้และเป็นตัวเต็งที่จะคว้า “บัลลงดอร์” เพื่อหยุด 10 ปีที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ผลัดกันครอบครอง ส่วน กรีซมันน์ กับ เอ็มบัปเป้ จะได้ก็ต้องรีดผลงานเตะตาสุดๆ ในนัดชิง จอมทัพ รีล มาดริด นั้นวัย 32 ปีต้องได้คราวนี้ ถ้าวืดอีกคงจบคล้ายๆ กับ อันเดรส อิเนียสต้า แข้งสเปนเมื่อปี 2010
วันที่ 14 กรกฎาคมตอน 3 ทุ่มตามเวลาไทย ณ เครสตอฟสกี้ สเตเดี้ยม เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ยังมีเกมชิงที่ 3 ซึ่งไฮไลต์ก็เหลือเพียงแค่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าอังกฤษที่นำอยู่ขณะนี้ซัดไปแล้ว 6 ประตูจะคั่วรองเท้าทองคำกับ โรเมลู ลูกากู ของ เบลเยี่ยม ที่กดไป 4 ประตู ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ชนะ 1-0