"It’s coming home, it’s coming home, it’s coming, Football’s coming home"
คนที่ติดตามชมฟุตบอลโลก 2018 ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม น่าจะคุ้นหูกับประโยคนี้บ้าง โดยเฉพาะคืนใดที่ อังกฤษ ลงสนามฟาดแข้งที่รัสเซีย แฟนบอลอังกฤษจะพร้อมใจตะโกนว่า “It’s coming home” อย่างพร้อมเพรียง และมันจะยิ่งดังกว่าเดิมเมื่อทีมรักของพวกเขาคว้าชัยชนะ ประโยคนี้มีที่มายังไง เราขอรับหน้าที่เฉลยให้ทุกคนรู้ไปด้วยกัน
“It’s coming home” มาจากเนื้อเพลงท่อนขึ้นต้นของ “Three Lions” เพลงเชียร์ฟุตบอลของ The Lightning Seeds วงร็อกชื่อดังจากลิเวอร์พูล และสองนักแสดงตลก David Baddiel กับ Frank Skinner ที่มาเป็นแขกรับเชิญ เพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นเพลงเชียร์ทีมชาติอังกฤษ ในปีที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพฟุตบอล ยูโร 1996 แม้ “สิงโตคำราม” ของกุนซือ เทอร์รี เวเนเบิลส์ จะแพ้จุดโทษ เยอรมนี 5-6 จบที่รอบรองชนะเลิศ แต่ด้วยเมโลดี้ที่ติดหู ร้องตามง่าย ทำนองคึกคักปลุกใจ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ที่อังกฤษ และกลายเป็นเพลงเชียร์ประจำชาติจนถึงปัจจุบัน
อังกฤษ คือ ชาติที่ได้ชื่อว่าคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลเข้าเส้นเลือด ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงยันผู้ใหญ่วัยชรา พวกเขาอ้างว่าเป็นชาติผู้ให้กำเนิดฟุตบอลสมัยใหม่และเผยแพร่มันไปทั่วโลก ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์คือตำแหน่งแชมป์โลกปี 1966 ที่ อังกฤษ เป็นเจ้าภาพเอง แต่หลังจากนั้น ทีมชาติอังกฤษ ไม่เคยเข้าใกล้ถ้วยรางวัลใดๆอีกเลย กระทั่งปี 2006 อังกฤษ ชุดที่นำทัพล่าแชมป์โลกโดย เดวิด เบ็คแฮม, เวย์น รูนีย์, ไมเคิล โอเวน, ริโอ เฟอร์ดินานด์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด ฯลฯ อันได้ชื่อว่าเป็นชุดผู้เล่นที่ดีที่สุด ก็ยังจอดที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย และถูกชาติอื่นๆ อย่าง บราซิล, อาร์เจนติน่า, เยอรมนี, อิตาลี, ฝรั่งเศส เร่งฝีเท้าขึ้นมาครองแชมป์รายการต่างๆ
อังกฤษ คือชาติที่ได้ชื่อว่าคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลเข้าเส้นเลือด ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงยันผู้ใหญ่วัยชรา พวกเขาอ้างว่าเป็นชาติผู้ให้กำเนิดฟุตบอลสมัยใหม่และเผยแพร่มันไปทั่วโลก ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์คือตำแหน่งแชมป์โลกปี 1966 ที่ อังกฤษ เป็นเจ้าภาพเอง แต่หลังจากนั้น ทีมชาติอังกฤษ ไม่เคยเข้าใกล้ถ้วยรางวัลใดๆอีกเลย กระทั่งปี 2006 อังกฤษ ชุดที่นำทัพล่าแชมป์โลกโดย เดวิด เบ็คแฮม, เวย์น รูนีย์, ไมเคิล โอเวน, ริโอ เฟอร์ดินานด์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด ฯลฯ อันได้ชื่อว่าเป็นชุดผู้เล่นที่ดีที่สุด ก็ยังจอดที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย และถูกชาติอื่นๆอย่าง บราซิล, อาร์เจนติน่า, เยอรมนี, อิตาลี, ฝรั่งเศส เร่งฝีเท้าขึ้นมาครองแชมป์รายการต่างๆ
เนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ร้องว่า “thirty years of hurt, never stopped me dreaming.” ที่แต่งโดย Ian Broudie นักร้องวง The Lightning Seeds มีความหมายปลุกใจกองเชียร์ทีมชาติอังกฤษว่า 30 ปีที่ห่างหายจากแชมป์ระดับเมเจอร์ (นับตั้งแต่ปี 1966 ที่ได้แชมป์โลก - ปี 1996 ที่ปล่อยเพลง) สาวก “ทรีไลออนส์” ก็ยังไม่หยุดฝันที่จะได้เห็นถ้วยแชมป์รายการใหญ่กลับ “บ้าน” แม้จะผิดหวังสักกี่ครั้งกี่หน
“บ้าน” ที่ว่าก็คือ “อังกฤษ” ที่พวกเขาบอกใครต่อใครว่า “เราคือชาติผู้ให้กำเนิดฟุตบอลสมัยใหม่”
มาถึง เวิลด์ คัพ ปี 1998 ทีมชาติอังกฤษ ลงแข่งรอบสุดท้ายอีกครั้งพร้อมเพลงเชียร์ “Three Lions” เหมือนเคย ก่อนตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้จุดโทษ อาร์เจนติน่า 3-4 วง The Lightning Seeds กับคู่หู David Baddiel - Frank Skinner เอาเพลงนี้มาแก้เนื้อร้อง, บันทึกเสียง และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “Three Lions’98” เพื่อให้กำลังใจเหล่านักเตะฮีโร่ของพวกเขา (เหมือนเพลง Stop Crying Your Heart Out ของ Oasis ที่แต่งมาให้กำลังใจ อังกฤษ ซึ่งตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เวิลด์ คัพ 2002)
กลับมาที่ ฟุตบอลโลก 2018 ทีมชาติอังกฤษ ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต โชว์ฟอร์มเก็บชัยเข้ารอบต่อเนื่อง เพลง “Three Lions” ของ The Lightning Seeds กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งจนขึ้นอันดับ 1 ที่อังกฤษ ไม่เพียงปลุกความฮึกเหิมของแฟนบอล รายงานยังระบุว่า เศรษฐกิจโดยรวมของอังกฤษเริ่มดีขึ้น ชาวอังกฤษเริ่มมีกำลังใจในการจับจ่ายใช้สอยหลังก่อนหน้านี้เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในภาวะเสื่อมถอยจากการที่พวกเขาออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ณ เวลานี้ วลีฮิต “It’s coming home, it’s coming home, it’s coming, Football’s coming home” ที่ออกจากปากแฟนบอลอังกฤษ กำลังส่งเสียงด้วยความฮึกเหิมไปทั่วโลก ด้วยความเชื่อมั่น 100% ว่า แฮร์รี เคน หัวหอกที่นำเป็นดาวซัลโว 6 ประตูของทัวร์นาเมนต์ และผองเพื่อนจะร่วมกันพาถ้วย เวิลด์ คัพ สมัย 2 กลับบ้าน - บ้านที่ได้ชื่อว่าให้กำเนิดกีฬาฟุตบอล เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีและลบคำเย้ยหยันที่พวกเขาต้องทนฟังอย่างเจ็บปวดมาหลาย 10 ปี
แต่ต้องถาม โครเอเชีย คู่แข่งรอบรองชนะเลิศ วันที่ 11 กรกฏาคม ว่าจะอนุญาตให้ อังกฤษ เข้ารอบชิงไปเอาถ้วยแชมป์โลกที่รัสเซียกลับบ้านตามเพลง “It’s coming home” - หรือพากันกอดคอกลับบ้านแบบไม่มีอะไรติดมือเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา