ส่อง 9 เหตุการณ์น่าปวดหัวของยอดโค้ชอย่าง ฮอร์เก้ ซามเปาลี ที่อาจจะกำลังพาทีม “จอดป้าย” เพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มในศึกเวิลด์ คัพ 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งแต่ละเรื่องของเขามีแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งนั้น
เมื่อคืนวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา แฟนบอลทีม “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า ต่างเศร้าใจกับผลการแข่งขันที่ทีมรักของพวกเขาพ่ายต่อ โครเอเชีย 0-3 โอกาสจอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มค่อนข้างสูง โดยคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนอกเหนือจาก วิลลี กาบาเยโร่ นายประตูจอมเฟอะฟะที่ทำพลาดจนทีมเสียประตูแรกแล้ว อีกรายที่ถูกจวกหนักไม่แพ้กันได้แก่ ฮอร์เก้ ซามเปาลี เทรนเนอร์ของทีม
ลองมาดูรวบรวมเหตการณ์และผลงานสุดเห่ยของทีมชาติอาร์เจนติน่า ภายใต้การกุมบังเหียนของ ฮอร์เก้ ซามเปาลี มาให้ดูกัน
1. อาร์เจนติน่า เกือบไม่ได้มาเล่นฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย โดย ฮอร์เก้ ซามเปาลี เข้ามากุมบังเหียนทัพ “ฟ้าขาว” ต่อจาก เอ็ดการ์โด้ เบาซ่า เมื่อช่วงกลางปี 2017 แม้จะประเดิมคุมทีมเกมแรกด้วยการเอาชนะ บราซิล 1-0 และตามด้วยเอาชนะสิงคโปร์ 6-0 ในเกมอุ่นเครื่อง แต่พาทีม “ไร้ชัย” ถึง 3 เกมติดต่อกันในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ โดยเสมอกับ อุรุกวัย 0-0, เสมอ เวเนซุเอล่า 1-1 และเสมอเปรู 0-0 ซึ่ง ณ เวลานั้น อาร์เจนติน่า เหลืออีก 1 เกม ที่ต้องไปเยือนเอกวาดอร์ และมี 25 แต้ม รั้งอันดับ 5 ของตาราง ต้องบุกชนะเอกวาดอร์ให้ได้สถานเดียว แต่โชคยังเข้าข้างพวกเขาที่ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ ประกอบกับ ชิลี บุกพ่ายต่อ บราซิล 0-3 ทำให้พวกเขากระโดดขึ้นมารั้งอันดับ 3 ของตารางเพียงพอต่อการผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018 และส่ง ชิลี ชวดมาลุย “เวิลด์ คัพ” ที่ประเทศรัสเซีย
2. ผลงานลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนมาเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย พวกเขาลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง พ่ายแพ้ให้กับ ไนจีเรีย 2-4 แม้จะมาแก้ตัวเอาชนะอิตาลี 2-0 แต่เกมถัดมาแพ้ถล่มทลายให้กับ “กระทิงดุ” สเปน อดีตแชมป์โลก 2010 1-6 ซึ่งตอนนั้น ฮอร์เก้ ซามเปาลี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงผลสกอร์ที่พ่ายคู่แข่งอย่างขาดลอยไม่สมกับเป็นอดีตแชมป์โลก 2 สมัย
3. ไม่ยอมเรียก เมาโร อิคาร์ดี้ เจ้าของดาวซัลโวร่วมในศึกกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ฤดูกาล 2017-18 มาติดทีมชาติอาร์เจนติน่าในฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย โดย “อิคาร์ดี้” ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวากับอินเตอร์ มิลาน ซึ่งในลีกสูงสุดแดนมะกะโรนี เขากดไป 29 ประตู เทียบเท่ากับ ชิโร่ อิโมบิเล่ เป็นรองแค่เพียงการแอสซิสต์เท่านั้น พาทีม “งูใหญ่” คัมแบ็กกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีกครั้ง ซึ่งหากย้อนไปอีกหนึ่งฤดูกาล ในปี 2016-17 “อิคาร์ดี้” ก็พังตาข่ายไปถึง 24 ประตู และเจาะลึกลงไปกว่านั้นยอดกองหน้าอินเตอร์ มิลาน ซัดให้ต้นสังกัดไป 100 ประตูพอดีใน 6 ปีหลังสุด แต่กลับไม่ได้รับโอกาสจากนายใหญ่อย่าง “ซามเปาลี”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า การไม่เรียก เมาโร อิคาร์ดี้ มาติดทีมฟ้าขาว เนื่องจากเจ้าตัวเคยมีปัญหากับ มักซี โลเปซ อดีตหัวหอกทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ “อิคาร์ดี้” ไปคบกับแฟนเก่าของ มักซี โลเปซ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของลิโอเนล เมสซี่ ทำให้ซูเปอร์สตาร์จากสโมสรบาร์เซโลน่า ไม่ชอบขี้หน้า “อิคาร์ดี้” และมีอิทธิพลต่อตัวกุนซือใหญ่มาโดยตลอดในการปฏิเสธที่จะเรียกศูนย์หน้าทีมงูใหญ่มาติดธงฟ้าขาว ไม่ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ดีแค่ไหนก็ตาม เช่นเดียวกับการที่ “ซามเปาลี” ตัดสินใจไม่เรียกตัวอิคาร์ดี้ มาติดทีม
4. ไม่เรียก เซร์คิโอ โรเมโร่ ผู้รักษาประตูมือกาวมาติดทีมในการลุยเวิลด์คัพ รอบสุดท้ายที่รัสเซีย เนื่องจากอ้างว่าเจ้าตัวยังคงบาดเจ็บ แต่สุดท้าย “โรเมโร่” เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตนหายบาดเจ็บมาสักพักแล้ว ซึ่ง ซามเปาลี ตัดสินใจใช้งาน วิลลี กาบาเยโร่ ที่เป็นตัวสำรองกับทีมเชลซี มาเป็นนายประตูมือ 1 ของทีมในวัย 36 ปี และสุดท้ายกาบาเยโร่ ก็มาทำพลาดในเกมดวลโครเอเชีย เป็นเหตุให้ทีมพ่ายแพ้
5. เกือบไม่ดึง เปาโล ดิบาล่า ศูนย์หน้าฟอร์มแรงของทีม “ม้าลาย” ยูเวนตุส มาติดทีมชาติ เนื่องจากให้เหตุผลว่า “ดิบาล่า” ไม่เข้ากับแท็กติกของเขา โดยหัวหอกจากทีมม้าลายซัดไป 52 ประตูให้ต้นสังกัดในช่วง 3 ปีหลังสุด และได้รับมอบหมายเสื้อหมายเลข 10 เพื่อที่จะขึ้นเป็นตำนานของทีมต่อไป และบรรดาแฟนๆ ทีมฟ้าขาวต่างยกให้เขาเป็นตัวแทนของลิโอเนล เมสซี่ คนต่อไป ที่จะพาทีมประสบความสำเร็จในอนาคต แต่ ฮอร์เก้ ซามเปาลี ดันไม่ชอบสไตล์การเล่นของเขา สุดท้ายก็ทนแรงกดดันจากหลายฝ่ายไม่ไหวจึงตัดสินใจเรียกเจ้าตัวมาติดทีมในที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีชื่อติดทีมมา แต่ “ดิบาล่า” ก็ยังไม่ได้รับโอกาสให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเลยทั้งสองนัดในเวิลด์คัพ 2018 แม้จะได้ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่ 2 แต่ก็ช่วยอะไรทีมมากไม่ได้ เพราะเวลาในสนามของเขานั้นน้อยจนเกินไป
6. ดร็อป อังเคล ดิ มาเรีย ปีกตัวเก่งที่ทำสถิติสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนทำประตูได้มากที่สุดในฟุตบอลโลก 2018 เกมแรก หลังมีการเผยสถิติอันน่าทึ่งออกมาว่า “ดิ มาเรีย” สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนได้ถึง 22 ครั้ง ในเกมที่อาร์เจนติน่า พบ ไอซ์แลนด์ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้จนจบลงที่ผลเสมอ 1-1 อย่างไรก็ตาม เกมที่พบกับ โครเอเชีย “ดิ มาเรีย” ไม่ได้รับโอกาสแม้กระทั่งตัวสำรอง และซามเปาลี ดันเลือกใช้ มักซี เมซ่า กับ เอดูอาร์โด้ ซัลวิโอ้ ในตำแหน่งปีกทั้งสองฝั่งแทน ซึ่งการเล่นของทั้ง 2 คน ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “ไม่ได้เรื่อง”
7. มักให้สัมภาษณ์ดิสเครดิตนักเตะคนอื่นๆ เสมอยกเว้น ลิโอเนล เมสซี่ ซึ่งที่ผ่านมา หากได้สังเกตและฟังคำพูดของเขาหลังจบเกมในแต่ละแมตช์ เมื่อใดที่มีพ่ายแพ้หรือไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ เขามักจะออกมาตำหนินักเตะแทบทั้งทีม ยกเว้น “เมสซี่” อย่างเช่นเกมล่าสุดเขาออกมาตำหนิหลายๆ คนที่เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานเป็นเหตุทำให้ “เมสซี่” นั้นเล่นไม่ออก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อสปิริตของทีมพอสมควร
8. ในเกมพ่ายโครเอเชีย เลือกเปลี่ยนตัว เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงตัวเก่งออกจากสนาม ทั้งที่ทีมต้องการประตู และยังดื้อด้านใช้แผนกองหน้าตัวเดียวจนถึงนาทีที่ 68 ทั้งที่ทีมสกอร์ตามหลัง 0-1 ซึ่งเรื่องนี้ถูกยกมาเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก ในเมื่อทีมมีศูนย์หน้าดีๆ ทั้ง อิกวาอิน และ อเกวโร่ แต่ซามเปาลีไม่เลือกที่จะใช้งานทั้งสองคนพร้อมกัน ยังดีที่ตัดสินใจส่ง เปาโล่ ดิบาล่า มาในนาทีที่ 68 แต่ก็ไม่ทันการ
9. อาจทำให้อาร์เจนติน่า จอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกครั้งในรอบ 16 ปี หลังจากก่อนหน้านี้ “ฟ้าขาว” เคยตกรอบแรกมาแล้วในเวิลด์คัพ 2002 ซึ่งปีนั้นทีมยังทำได้ 2 ประตู
ทั้งนี้ อาร์เจนติน่า ยังไม่ตกรอบในฟุตบอลโลก 2018 โดยต้องลุ้นผลการแข่งขันของ ไอซ์แลนด์ ที่จะพบกับ ไนจีเรีย คืนนี้ (22 มิ.ย.) และพวกเขาจะมีคิวลงเล่นนัดที่ 3 พบ ไนจีเรีย คืนวันที่ 26 มิถุนายน 2561 เวลา 01.00 น. ตามเวลาไทย