มิโลวาน ราเยวัช กุนซือทีมชาติไทย เผย ตั้งเป้านำทีมขึ้นสู่การเป็นทีมหัวแถวของทวีป ชี้จุดอ่อนฟุตบอลไทยทั้งลีกและทีมชาติ มักเสียประตูง่ายๆ ช่วงท้ายเกม
the-afc.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี เปิดบทสัมภาษณ์ของ มิโลวาน ราเยวัช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โดยเจ้าตัวได้พูดถึงการคุมทัพช้างศึก และเป้าหมายกับทีมชาติไทยในเอเชีย รวมถึง AFC Asian Cup 2019
โดย มิโลวาน ราเยวัช ตั้งเป้านำทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันเป็นทีมแถวหน้าของภูมิภาคอาเซียน ให้ก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของทวีปให้ได้ ซึ่งฟุตบอลรายการชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ในปี 2019 (AFC Asian Cup UAE 2019) นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของกุนซือชาวเซิร์บในเอเชีย
ทีมชาติไทย จะกลับเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียอีกครั้ง หลังจากเคยผ่านเข้าไปเล่นในรอบนี้แล้วในปี 2007 ที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพร่วม โดย ราเยวัช มีเวลาเตรียมทีมกว่า 18 เดือน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ตั้งเป้าใช้รายการนี้ เป็นเวทีให้ทัพช้างศึกก้าวขึ้นมาในระดับแถวหน้าของเอเชีย
“ถึงตอนนี้ เราหมดโอกาสที่จะลุ้นไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกแล้ว” อดีตกุนซือกานา ที่พาทัพดาวดำทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ กล่าวกับ the-afc.com
“แต่เราก็ยังเหลือเกมให้เล่นอยู่สองสามเกม และ เอเชียน คัพ ก็กำลังจะมาถึงในอีก 18 เดือนข้างหน้านี้ แน่นอนว่า เราต้องเริ่มสร้างทีมและผู้เล่นใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อทำศึกชิงแชมป์เอเชียในครั้งนี้”
“เป้าหมายของผมคือพยายามนำทีมชาติไทยให้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในเอเชีย ขึ้นมาเทียบระดับเดียวกันกับ ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ในอนาคต”
หลายปีที่ผ่านมา ฟุตบอลไทยพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยทีมชาติไทยสามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย โซนเอเชีย ได้สำเร็จ รวมถึงรายการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี
แม้ว่าทีมชาติไทยยังเก็บชัยชนะในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย ไม่ได้ แต่หัวหน้าผู้ฝึกสอนวัย 63 ปี ก็เชื่อว่า เขาได้เห็นพัฒนาการของทีมแล้วตั้งแต่เข้ามารับงานกุนซือทัพช้างศึกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“เรามีเวลาค่อนข้างมาก ผมคงไม่รับงานนี้หากผมไม่คิดว่า มันเป็นไปได้และอยู่บนความเป็นจริง แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่า มันเป็นงานที่ยาก” ราเยวัช กล่าว
“เราต้องเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่าง เปลี่ยนทุกๆ อย่างที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายให้ได้ ถ้าดูจากแรงกิ้งที่ออกมา มันไม่ใช่ช่องว่างเล็กๆเลยที่จะขึ้นไปเทียบกับทีมชั้นนำเหล่านั้น”
“แต่ถ้าเรามีการเตรียมทีมที่ดี เป็นมืออาชีพ และมีความตั้งใจ ทุ่มเท จากทุกๆคน เราก็สามารถทำได้ พวกเขายังต้องเรียนรู้อีกหลายๆ อย่าง แต่ผมเชื่อว่าพวกเขามีความสามารถที่จะพัฒนา และรับมือกับทีมอื่นๆในศึกชิงแชมป์เอเชียในอีก 18 เดือนข้างหน้าได้”
กุนซือช้างศึกวัย 63 ปี คุมทีมอย่างเป็นทางการมาแล้ว 4 นัด ชนะ 2 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้อีก 1 นัด ยิงได้ 4 ประตู เสีย 3 ประตู แม้เกมเรกจะพลาดท่าพ่ายให้กับ อุซเบกิสถาน ในแมตช์อุ่นเครื่อง แต่ก็เกือบเอาชนะ ยูเออี ได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย ในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ส่วนอีกสองเกมเป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 ในเดือนกรกฎาคม โดยทีมชาติไทยเอาชนะเกาหลีเหนือในรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่จะเอาชนะเบลารุสในนัดชิงด้วยการดวลจุดโทษ และความแชมป์ คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 มาครองในที่สุด ก่อนจะคุมทีมพบทีมชาติอิรักในโปรแกรมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เป็นศึกนัดถัดไป
“สิ่งที่ดีที่นี่ (ไทย) คือ ทุกคนมีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จ ผู้คนที่นี่ พวกเขาคลั่งไคล้ฟุตบอลเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เรายังเห็นข้อบกพร่องอยู่สองสามอย่างตั้งแต่วันแรกที่พวกเราเข้ามา”
“ถ้าดูกันที่ ลีก การแข่งขัน รวมถึงระดับทีมชาติด้วย พวกเขามักจะเสียประตูในช่วง 20 นาทีสุดท้าย ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะสภาพร่างกาย หรือสมาธิในเกมขาดไป ดังนั้น เราต้องหาทางแก้ไขปัญหาทั้งสองอย่างนี้ให้ได้ เพื่อพัฒนาทีมต่อไปในอนาคต”
“นั่นเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องจัดการ และแน่นอนว่า รวมถึงส่วนอื่นๆ ด้วย ทั้งในแง่ของเทคนิคและแท็กติกมันพัฒนาให้ดีขึ้นได้เสมอๆ เราจึงต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อพัฒนาในทุกๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเตรียมตัวด้านแท็กติก” มิโลวาน ราเยวัช กล่าวปิดท้าย