โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสจอมเก๋าขวัญใจคนดูทั่วโลก นับถอยหลังสู่การหยิบแชมป์ แกรนด์ สแลม วิมเบิลดัน สมัยที่ 8 เมื่อเอาชนะ โทมัส เบอร์ดิช มือแกร่งชาวเช็ก 3 เซตรวด ค่ำคืนวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แถมยังเป็นการเข้ารอบชิงดำแบบไม่เสียเซตให้คู่แข่งแม้แต่คนเดียว
เกมคู่สุดท้ายของรอบรองชนะเลิศชายเดี่ยว เฟเดอเรอร์ มือ 5 ของโลกจาก สวิตเซอร์แลนด์ เดินเข้าสู่ เซ็นเตอร์คอร์ต ท่ามกลางกองเชียร์กระหึ่มที่ ออล อิงแลนด์ คลับ เจอกับ เบอร์ดิช มือ 15 ของโลกจาก สาธารณรัฐเช็ก ที่หมายมั่นเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 หลังจากอกหักเป็นรองแชมป์ปี 2010
เซตแรก เฟเดอเรอร์ กับ เบอร์ดิช เล่นได้สูสีโดยฝ่ายหลังตีเสมอ 4-4 ก่อนยื้อเข้าไทเบรก ทว่า สู้ความแม่นไม่ไหวทำให้หวดเลือดสวิส ชนะก่อน 7-6 (7/4) เซตสอง "เฟดเอ็กซ์" ต้องเล่นไทเบรคอีกครั้งแต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะพิชิตไปได้ 7-6 (7/4) เช่นกัน ขึ้นแท่น 2-0 เซตรอไปแล้ว
เซตสาม หวดเลือดเช็ก ไม่ยอมแพ้สู้เก็บแต้มไล่ตาม 4-5 แต่ก็ได้แค่นั้นเมื่อยอดนักหวดแดนนาฬิกา กินเรียบตอนท้าย จบเกม หวดวัย 35 ปี ตีตั๋วเข้าชิงชนะเลิศ วิมเบิลดัน เป็นครั้งที่ 11 ด้วยผลงาน 3-0 เซต 7-6 (7/4), 7-6 (7/4), 6-4 เจอกับ มาริน ซีลิช จาก โครเอเชีย ที่เข้าไปรอล่วงหน้า
แม้สถิติที่ผ่านมา จะกินนิ่มเหนือ ซีลิช ถึง 6-1 แต่เจ้าตัวก็บอกการไม่ประมาทคือสิ่งที่ดีที่สุด "ปีที่แล้วเราเล่นกันแบบดุเดือดในรอบ 8 คนสุดท้าย และเมื่อปี 2014 เขาก็เอาชนะผมได้ใน ยูเอส โอเพน ความซับซ้อนอย่างหนึ่งคือปีก่อนผมโชคดีที่ชนะเขา มาริน เป็นคนที่ยอดเยี่ยมและผมก็มีความสุขที่ได้เห็นเขาชิงปีนี้”
สำหรับ เฟเดอเรอร์ การเข้าชิงครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักหวดที่อายุมากที่สุด อันดับ 2 ที่ได้มาถึงรอบสุดท้ายของ วิมเบิลดัน รองจาก เคน โรสเวลล์ ตำนานมือหวดจาก ออสเตรเลีย ที่เคยทำได้เมื่อปี 1974 ในวัย 39 ปี