ระหว่างที่ทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี มีโปรแกรมอุ่นเครื่อง เพื่อเตรียมภาระกิจสำคัญ ป้องกันแชมป์ ซีเกมส์ 2017 เดือนสิงหาคมนี้ ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่ง “ย้า” สิทธิโชค ภาโส นักฟุตบอลในสังกัด ชลบุรี เอฟซี ที่ได้รับโอกาสจากสโมสร คาโงชิมา ยูไนเต็ด แห่งเจลีก 3 ประเทศญี่ปุ่น ยืมตัวไปร่วมทีม ถ้วยสัญญา 1 ปี
ซึ่งในโอกาสดังกล่าว หลังผ่านมา 6 เดือน “ย้า” นักเตะวัย 18 ปี ได้รับโอกาสให้กลับมาช่วยทีมชาติ ยู 23 กล่าวถึง 6 เดือนของตัวเองบนแผ่นดินประเทศญี่ปุ่น ผ่านแฟนเพจ “ฟุตบอลทีมชาติไทย” ว่า ตนต้องผ่านการร้องไห้อย่างหนักจากอาการคิดถึงบ้าน “ผมจำได้เลยนะตอนไปวันแรก ผมร้องไห้เลย มันอยู่ไม่ได้ อากาศก็หนาว หนาวขนาดที่ว่าขาชา เตะบอลก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ช่วงนั้นหิมะตก หวัดก็กิน ปวดหัว อยู่ยากมาก แต่หลังจากมีนาคมผมก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มปรึกษากับคนอื่นน้อยลง เขาบอกให้ถ่ายแบบฝึกของสโมสรมาให้ดู และคอยคุยกับผมว่าเข้าใจไหม และเขาก็แนะนำอีกที”
“ช่วงแรกผมคิดเลยว่าผมอยู่ไม่ได้ เพราะผมไม่เคยไปอยู่คนเดียวมาก่อน วันแรกที่ไปถึงผมนั่งน้ำตาซึมตลอด กินข้าวก็ไม่ลง ไม่มีอารมณ์อยากกินแม้แต่น้อย ตอนนั้นผมเดินทางไปกับโค้ชเฮง (วิทยา เลาหกุล) ผมบอกแกว่า แกมาอยู่พักเดียว เดี๋ยวก็กลับ ผมอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
“พอบอกอย่างนั้นไป ผมโดนโค้ชเฮง ว่าเลย ว่ามาวันเดียวจะมาบอกได้ยังไงว่าอยู่ไม่ได้ ต้องอยู่ให้ได้ ผ่านมันไปให้ได้ ตอนผมร้องไห้ แกก็ถ่ายคลิปผม ผมรู้สึกเลยว่าตอนนั้นผมร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต พอกลับสมัยที่ออกจากบ้านมาอยู่แคมป์ของอคาเดมี ชลบุรี เอฟซี ตอนนั้นร้องสี่วันติด แต่อันนี้คือพอผมว่างปุ๊ปก็ร้อง ถ้าไปซ้อมก็จะไม่ร้อง”
นอกจากนี้ “ย้า” ยังยอมรับว่า ตนอยากหนีกลับบ้าน แต่ด้วยคำสอนของ “โค้ชเฮง” ว่า ระยะเวลาการเดินทางจากญี่ปุ่น ถึงประเทศไทยอาจเป็นเพียงแค่ 6 ชั่วโมง แต่มันจะเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาล “โค้ชเฮงพูดกรอกหูผมเสมอ จะกลับก็กลับได้นะ แค่ 6 ชั่วโมงเองจากญี่ปุ่นมาไทย แต่อย่าหวังนะว่าชีวิตจะมีโอกาสแบบนี้อีก มันเปลี่ยนไปหมดเลย”
“จนผมต้องไปเข้าแคมป์ ผมก็ต้องมองหาโค้ชเฮงตลอด พอเห็นแกก็สบายใจ เพราะผมกลัวแกทิ้งกลับไทย และอยู่มาวันหนึ่งแกก็ไปโดยไม่บอก คิดในใจเอาแล้ว ผมก็พยายามโทรหาโค้ชเฮงตลอด แกก็บอกผมว่าอยู่ให้มันได้ อยู่ให้รอดไปก่อน ตอนแรกก็แบบนี้ เดี๋ยวก็ผ่านไปได้”
“แกกรอกหูผมตลอดเลยว่า หกชั่วโมงเปลี่ยนชีวิตผมได้เลยนะ มันทรมานจริงๆ ผมอยู่ที่ไทย ผมพูดคุยกับเพื่อนตลอด แต่อยู่ที่ญี่ปุ่น ผมพูดคุยอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นคนเงียบๆ เพราะพูดก็ไม่รู้เรื่อง ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พวกเพื่อนร่วมทีมก็พยายามเข้าหา แต่มันสื่อสารไม่ได้จริงๆ ผมก็พยายามใช้ภาษามือและเอาโทรศัพท์มาแปล”
ขณะเดียวกัน ดาวเตะเด็กสร้างของ “ฉลามชล” กล่าวถึงการเล่นฟุตบอลที่ประเทศญี่ปุ่น ว่า “พอเริ่มเล่นใน J3 ผมก็เริ่มปรับตัวได้บ้าง โดยเฉพาะเกมแรก เกมนั้นผมไม่ได้ลงสนามนะ แต่จังหวะที่เดินออกจากสนามมา ผมเห็นธงชาติไทยติดตรงรั้วของสนาม ตอนนั้นผมประทับใจ ดีใจจนน้ำตาไหล ผมไม่คิดว่าจะมีธงชาติไทยมาติดอยู่ที่ขอบสนามและมีชื่อผมแบบนี้”
“ผมประทับใจมาก เพราะเขาไม่ใช่คนไทย เป็นคนญี่ปุ่นที่รวมเงินกันและทำป้ายนี้ขึ้นมา เพื่อให้ผมสู้ต่อ มันทำให้ผมมีกำลังใจมาก และตอนนั้น และ กฤษดา กาแมน ก็เดินทางมาทดสอบฝีเท้าเหมือนกัน ผมก็เลยสบายใจได้คุยกับเพื่อน”
แม้จะเคยคิดหนีกลับบ้าน แต่ตอนนี้ “ย้า” เอง ยอมรับว่า ตนเริ่มจะสนุกกับการค้าแข้งที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน "การกลับมาที่ไทยครั้งนี้ เหมือนเป็นการเติมพลังใจ มีกำลังใจไปสู้ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคิดว่าตอนนี้ผมพร้อมนะที่จะเอาแรงจากที่ไทยที่มีร้อยเปอร์เซ็นต์ไปสู้ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเองก็มีแอบคิดว่าจะหนีกลับไทยอยู่เหมือนกันก่อนหน้านี้ แต่คิดไปคิดมา จะหนีไปที่ไหนได้ ตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว มองกลับไปก็เร็วเหมือนกัน ผมจำไม่ได้เลยว่าแต่ละวันเป็นยังไง”
“ผมเองก็เริ่มสนุกกับการค้าแข้งในต่างประเทศนะ แต่มันก็อยู่ที่ความคิดและตัวผมว่าโตขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ผมรู้ว่าผมยังเหมือนเด็กที่ยังไม่โต ยังงอแง ทำตัวเป็นเด็ก ผมรู้นะแต่แก้ไม่ได้ การเล่นให้กับทีมชาติไทย U23 มันก็ยากนะ เพราะว่าต้องเจอรุ่นพี่ รวมถึงโค้ชที่ให้โอกาสดึงเด็กอย่างผมไปติดทีมข้ามรุ่น แต่แน่นอนในการซ้อมและการแข่งขันผมจะทำเต็มที่เสมอ”
“สำหรับทีมชาติไทย ต่อให้ไกลแค่ไหนผมก็อยากเล่นไม่สนว่าจะเป็นชุดอะไร จะ U19 หรือ U23 ผมก็พร้อมเล่นเต็มที่ ถ้าเขาเรียกผมก็พร้อมและจะนำเอาประสบการณ์จากญี่ปุ่นมาช่วยทีมชาติไทย ผมได้ประสบการณ์มากมายทั้งในและนอกสนาม ทั้งการรับมือกับความกดดัน, ความตรงต่อเวลาระเบียบวินัยต่างๆ ผมจะช่วยทีมให้ได้มากที่สุดครับ” สิทธิโชค กล่าว
ขอบคุณเนื้อหาจากแฟนเพจ ฟุตบอลทีมชาติไทย และภาพจากอินสตาแกรม 28s_recaro