คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
เว้นวรรคกันไปนานพอสมควร สำหรับรอบชิงชนะเลิศ ศึกบาสเก็ตบอล เอ็นบีเอ (NBA) จริงๆ ก็ต้องบอกว่า โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส กับ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ต่างเช็กบิลกันง่ายดายเกินไปหน่อย ทั้งที่เผชิญหน้าคู่แข่งตัวฉกาจของฝั่งตะวันตก และ ตะวันออก ตามลำดับ ทำเอาแฟนๆ ต้องรอกันถึง 1 สัปดาห์เศษ ก่อนเปิดฉากเกมแรก ที่สนาม โอราเคิล อารีนา เช้าวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน ตามเวลาบ้านเรา
วอร์ริเออร์ส กับ คาวาเลียร์ส ก็เป็นการประกบคู่รอบชิงชนะเลิศ ที่ใครต่อใครต่างคาดไว้อยู่แล้ว อาจจะตั้งแต่ เรกูลาร์ ซีซัน 2016-17 ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการขับเคี่ยวเดิมพันโทรฟี “แลร์รี โอ’ไบรอัน” ภาค 3 ก็ยังพอเรียกได้ว่าเป็น “ดรีม ไฟนัล” อยู่บ้าง เนื่องจากทั้งคู่ต่างพิสูจน์แล้วว่า คือ 2 ยอดทีมของลีกยุคปัจจุบัน ด้วยสถิติช่วงโพสต์ซีซันรวมกัน ชนะ 24 แพ้ 1 เหนือกว่าอีก 28 แฟรนไชส์อย่างชัดเจน
สำหรับการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ วอรร์ริเออร์ส กุมความได้เปรียบด้านความสดของผู้เล่น หลังจากพักมา 9 วันเต็มๆ หากเปรียบกับปี 2016 ซึ่ง ทีมของ สตีฟ เคอร์ ห้ำหั่นกับ โอกลาโฮมา ซิตี อย่างดุเดือดถึง 7 เกม มีเวลาฟื้นฟูร่างกายแค่ 2 วัน เส้นทางสู่รอบชิงฯ อันราบรื่นของ “นักรบ” ย่อมทำให้ซูเปอร์สตาร์อย่าง เควิน ดูแรนท์ ฟอร์เวิร์ดตัวเก่ง ลงสนามแค่ 33 นาทีต่อเกม ต่ำกว่าสมัยจับคู่ รัสเซลล์ เวสต์บรูก อดีตคู่หู ที่กรำศึกราวๆ 40-42 นาทีต่อเกม
ฝั่ง คาวาเลียร์ส เองก็พักมายาวนาน 6 วัน อย่างไรก็ตาม เลอบรอน เจมส์ และผองเพื่อน มักดวลกับคู่ต่อสู่อย่าง โตรอนโต แร็พเตอร์ส ที่ซัดกับ มิลวอคกี บัคส์ มา 6 เกม หรือ บอสตัน เซลติกส์ ก็บดกับ วอชิงตัน วิซาร์ดส ถึงเกม 7 จึงอาศัยความสดขึ้นนำซีรีส์ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วปิดซีรีส์แบบไม่ยากเย็น ดังนั้นเกมพบ วอร์ริเออร์ส ถือว่าไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก
หากชำแหละขุมกำลัง เชื่อว่าหลายๆ ท่าน อาจจับตาการวัดฝีมือ “บิ๊กทรี” ระหว่าง เลอบรอน , คายรี เออร์วิง และ เควิน เลิฟ ปะทะ สตีเฟน เคอร์รี , เคลย์ ธอมป์สัน และ เควิน ดูแรนท์ แต่ตัวตัดสินเกมจริงๆ แล้ว น่าจะอยู่ที่ฝั่ง วอร์ริเออร์ส คือ เดรย์มอนด์ กรีน คนนี้นี่เอง
ย้อนกลับไปรอบชิงฯ ปี 2016 ไทรอนน์ ลู เฮดโค้ช ปรับกลยุทธ์บีบ วอร์ริเออร์ส ส่งบอลให้ กรีน ท้าทายยิงวงนอก สังเกตจากค่าเฉลี่ยชู้ต 3 แต้ม เพิ่มขึ้นเป็น 5.3 ครั้งต่อเกม สูงกว่าฤดูกาลปกติราว 2 ลูก แม้จะเข้าฝักเกม 2 และ 7 ส่องเข้าเป้ารวมกัน 11 ลูก แต่อีก 5 เกมที่เหลือ ทำได้เพียง 2 จาก 16 ครั้ง คราวนี้ ฟอร์เวิร์ดวัย 27 ปี ยิงระยะไกลมีประสิทธิภาพแค่ 30.8 เปอร์เซ็นต์ ดีสุดอันดับ 8 ของทีม ซึ่งหากเกมรุกสะดุด ก็เท่ากับว่าเปิดโอกาสแก่ คาวาเลียร์ส
จุดชี้ขาดสุดท้าย น่าจะเป็นเกมใต้แป้น ซึ่ง วอร์ริเออร์ส เสียรีบาวน์ดเกมบุก 11.8 ครั้งต่อเกม แย่สุดของลีก ตลอดซีซัน ถึงแม้ แคฟส์ จะไม่สม่ำเสมอ แต่ตราบใดที่ยังมี ตริสตัน ธอมป์สัน ฟอร์เวิร์ดกึ่งเซ็นเตอร์ คอยยืนค้ำ ก็น่าจะสร้างปัญหาแก่ ไมค์ บราวน์ เฮดโค้ชที่มาขัดตาทัพแทน สตีฟ เคอร์ แถมยังเคยเป็นข้อแตกต่าง เกมที่ทั้งคู่ล้างตากันวันคริสต์มาส ปี 2016 โดย คาวาเลียร์ส เหนือกว่า 48-39 ครั้ง
หาก แชมป์เก่า ยังเหนือกว่าด้านการรีบาวน์ด โดยเฉพาะในแดนคู่ต่อสู้ เท่ากับว่าจะตัดการครองบอล และชะลอเกมบุกของ วอร์ริเออร์ส ที่มี “สแปลช บราเธอส์” อย่าง เคอร์รี กับ ธอมป์สัน และ ดูแรนท์ พร้อมเพิ่มความแค้นสุมอก “นักรบ” อีก 1 ฤดูกาล
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *