คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
กลายเป็นข่าวฮือฮาในวงการฟุตบอลไทยพอสมควร จากการที่กลุ่มทุนจากอุดรธานี หิ้วเงินถุงเงินถังมาซื้อสโมสร บีอีซี เทโรศาสน อดีตสโมสรฟุตบอลของ ไบรอัน แอล มาร์คา ที่ปัจจุบันก็ทราบกันดีว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ากลุ่มทุนกลุ่มนี้สนใจ พัทยา ยูไนเต็ด มากกว่า แต่สุดท้ายลงเอยกับทีมจากหนองจอกเสียได้
ที่ผ่านมา บีอีซี เทโรศาสน ซึ่งก่อตั้งปี 2535 ด้วยน้ำมือของ วรวีร์ มะกูดี ไต่เต้ามาจากถ้วยพระราชทาน ง เลื่อนชั้นมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2539 ก็เข้าสู่ไทยลีกได้เป็นครั้งแรก โดยมีเกียรติประวัติมากมาย ไมว่าจะเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2 สมัย รองแชมป์สโมสร เอเชีย 1 สมัย แชมป์ถ้วย ก 1 สมัย และแชมป์ลีกคัพ 1 สมัย อีกทั้งยังมีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยมากมายเคยมาค้าแข้งที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ดุสิต เฉลิมแสน, วรวุฒิ ศรีมะฆะ, เทิดศักดิ์ ใจมั่น, สะสม พบประเสริฐ, ตะวัน ศรีปาน, ดัสกร ทองเหลา หรือ แม้แต่ ธีรเทพ วิโนทัย ฯลฯ
สำหรับกลุ่มที่เข้ามาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน หัวเรือใหญ่เป็น “เสี่ยต้อยติ่ง” สุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล ผู้เป็นขาใหญ่ประจำเมืองอุดรฯ เจ้าของโรงโม่หินดัง แถมยังมีตำแหน่งเป็นประธานสโมสร “ยักษ์แสด” อุดรธานี เอฟซี แห่งลีกดิวิชั่น 2 หรือลีกภูมิภาค นั่นเอง และแน่นอนว่า ต้องรู้จักมักจี่กับ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นอย่างดี
หากจำกันได้ครั้งการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทน 53 สโมสรจากลีกภูมิภาค มีการประชุมกัน พร้อมกับปฏิเสธการลงสนามเกมแรกช่วงที่มีการเลือกตั้งไปก่อน นัยก็เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง ที่นำโดย พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมย์ จากการแต่งตั้งของ “ฟีฟา” คราวนั้นทำเอาคนเป็นรักษาการประธานลีกภูมิภาคยุค “บังยี” อย่าง เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ถึงกับกระอักกระอ่วนที่ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ จนถึงขนาดต้องประกาศวางมือกันเลยทีเดียว ซึ่งเบื้องหลังนั้นว่ากันว่าเป็นเพราะบารมีของว่าที่เจ้าของทีม “มังกรไฟ” คนใหม่อย่าง “เสี่ยต้อยติ่ง” นี่แหละ
ซึ่งแม้จุดยืนทางการเมืองของขาใหญ่เมืองอุดรฯ กับ “บิ๊กอ๊อด” ผู้แนบแน่นกับ เนวิน แห่งเมืองปราสาทสายฟ้า จะแตกต่างกัน แต่การมีส่วนช่วยให้อดีตนายตำรวจใหญ่ก้าวสู่จุดสูงสุดในวงการฟุตบอลด้วยเก้าอี้นายกสมาคมฯ ย่อมบ่งชี้ได้ว่า แม้จะมีจุดต่างทางการเมือง แต่ก็มีจุดร่วมในวงการฟุตบอลได้
ถึงตอนนี้จะยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ แต่ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า “มังกรไฟ” จะต้องย้ายจากสนามเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ในกรุงเทพฯ เนื่องจากสนามเดิมนั้นมีสโมสร ไทยฮอนด้า ใช้ร่วมกันอยู่ มันก็ขัดกับระเบียบข้อบังคับที่ว่าด้วยการใช้สนามแข่งขันของสมาคมฟุตบอลฯ ที่ห้ามใช้ร่วมกันเมื่ออยู่ร่วมลีกเดียวกัน อีกทั้งสโมสรยังเสนอแผนการขยายฐานแฟนบอลด้วยการขอย้ายสนามเหย้าไปยังจังหวัดอุดรธานี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะขอใช้สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หรือสนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี
ที่ผ่านมา อาจจะมีการออกมาชี้แจงว่า การเทกโอเวอร์ “มังกรไฟ” ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเป็นทางลัดนำทีม “ยักษ์แสด” สู่ลีกสูงสุด เพราะสโมสรเดิมในลีกภูมิภาค ก็ยังคงอยู่ และไม่ได้ยุบหายไปไหน แค่เพียงจากโยกย้ายจากกรุงเทพไปอุดรฯ เท่านั้นเอง สงสารก็แต่แฟนทีม “มังกรไฟ” นี่แหละ ของเดิมไปเชียร์ที่หนองจอกว่าไกลแล้ว นี่ทีมดันหนีไปถึงหนองประจักษ์ ไกลกว่าเดิมเข้าไปอีก แล้วจะไปเชียร์กันยังไงหละเนี่ย...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
กลายเป็นข่าวฮือฮาในวงการฟุตบอลไทยพอสมควร จากการที่กลุ่มทุนจากอุดรธานี หิ้วเงินถุงเงินถังมาซื้อสโมสร บีอีซี เทโรศาสน อดีตสโมสรฟุตบอลของ ไบรอัน แอล มาร์คา ที่ปัจจุบันก็ทราบกันดีว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ากลุ่มทุนกลุ่มนี้สนใจ พัทยา ยูไนเต็ด มากกว่า แต่สุดท้ายลงเอยกับทีมจากหนองจอกเสียได้
ที่ผ่านมา บีอีซี เทโรศาสน ซึ่งก่อตั้งปี 2535 ด้วยน้ำมือของ วรวีร์ มะกูดี ไต่เต้ามาจากถ้วยพระราชทาน ง เลื่อนชั้นมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2539 ก็เข้าสู่ไทยลีกได้เป็นครั้งแรก โดยมีเกียรติประวัติมากมาย ไมว่าจะเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2 สมัย รองแชมป์สโมสร เอเชีย 1 สมัย แชมป์ถ้วย ก 1 สมัย และแชมป์ลีกคัพ 1 สมัย อีกทั้งยังมีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยมากมายเคยมาค้าแข้งที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ดุสิต เฉลิมแสน, วรวุฒิ ศรีมะฆะ, เทิดศักดิ์ ใจมั่น, สะสม พบประเสริฐ, ตะวัน ศรีปาน, ดัสกร ทองเหลา หรือ แม้แต่ ธีรเทพ วิโนทัย ฯลฯ
สำหรับกลุ่มที่เข้ามาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน หัวเรือใหญ่เป็น “เสี่ยต้อยติ่ง” สุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล ผู้เป็นขาใหญ่ประจำเมืองอุดรฯ เจ้าของโรงโม่หินดัง แถมยังมีตำแหน่งเป็นประธานสโมสร “ยักษ์แสด” อุดรธานี เอฟซี แห่งลีกดิวิชั่น 2 หรือลีกภูมิภาค นั่นเอง และแน่นอนว่า ต้องรู้จักมักจี่กับ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นอย่างดี
หากจำกันได้ครั้งการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทน 53 สโมสรจากลีกภูมิภาค มีการประชุมกัน พร้อมกับปฏิเสธการลงสนามเกมแรกช่วงที่มีการเลือกตั้งไปก่อน นัยก็เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง ที่นำโดย พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมย์ จากการแต่งตั้งของ “ฟีฟา” คราวนั้นทำเอาคนเป็นรักษาการประธานลีกภูมิภาคยุค “บังยี” อย่าง เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ถึงกับกระอักกระอ่วนที่ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ จนถึงขนาดต้องประกาศวางมือกันเลยทีเดียว ซึ่งเบื้องหลังนั้นว่ากันว่าเป็นเพราะบารมีของว่าที่เจ้าของทีม “มังกรไฟ” คนใหม่อย่าง “เสี่ยต้อยติ่ง” นี่แหละ
ซึ่งแม้จุดยืนทางการเมืองของขาใหญ่เมืองอุดรฯ กับ “บิ๊กอ๊อด” ผู้แนบแน่นกับ เนวิน แห่งเมืองปราสาทสายฟ้า จะแตกต่างกัน แต่การมีส่วนช่วยให้อดีตนายตำรวจใหญ่ก้าวสู่จุดสูงสุดในวงการฟุตบอลด้วยเก้าอี้นายกสมาคมฯ ย่อมบ่งชี้ได้ว่า แม้จะมีจุดต่างทางการเมือง แต่ก็มีจุดร่วมในวงการฟุตบอลได้
ถึงตอนนี้จะยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ แต่ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า “มังกรไฟ” จะต้องย้ายจากสนามเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ในกรุงเทพฯ เนื่องจากสนามเดิมนั้นมีสโมสร ไทยฮอนด้า ใช้ร่วมกันอยู่ มันก็ขัดกับระเบียบข้อบังคับที่ว่าด้วยการใช้สนามแข่งขันของสมาคมฟุตบอลฯ ที่ห้ามใช้ร่วมกันเมื่ออยู่ร่วมลีกเดียวกัน อีกทั้งสโมสรยังเสนอแผนการขยายฐานแฟนบอลด้วยการขอย้ายสนามเหย้าไปยังจังหวัดอุดรธานี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะขอใช้สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หรือสนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี
ที่ผ่านมา อาจจะมีการออกมาชี้แจงว่า การเทกโอเวอร์ “มังกรไฟ” ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเป็นทางลัดนำทีม “ยักษ์แสด” สู่ลีกสูงสุด เพราะสโมสรเดิมในลีกภูมิภาค ก็ยังคงอยู่ และไม่ได้ยุบหายไปไหน แค่เพียงจากโยกย้ายจากกรุงเทพไปอุดรฯ เท่านั้นเอง สงสารก็แต่แฟนทีม “มังกรไฟ” นี่แหละ ของเดิมไปเชียร์ที่หนองจอกว่าไกลแล้ว นี่ทีมดันหนีไปถึงหนองประจักษ์ ไกลกว่าเดิมเข้าไปอีก แล้วจะไปเชียร์กันยังไงหละเนี่ย...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *