คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “สรเดช เพชรแสงใสกุล”
ต้นเดือนกันยายนถือเป็นช่วง ฟีฟา เดย์ ประเดิมทำศึก เวิลด์ คัพ 2018 รอบคัดเลือก โดยสัปดาห์ก่อนก็ได้นำโปรแกรมของทีมชาติไทยมาเสิร์ฟกันไปแล้ว ซึ่งป่านนี้ทุกคนคงทราบว่า “ช้างศึก” กรีธาทัพไปเยือน ซาอุดีอาระเบีย กลับออกมาด้วยผลเช่นไร (แพ้ 0-1) จากนั้นค่อยเปิด ราชมังคลากีฬาสถาน รับมือ ญี่ปุ่น วันที่ 6 ก.ย. นี้ต่อไป
ข้ามฟากไปยังยุโรปมีความน่าสนใจตรงที่ อังกฤษ จะไปเยือน สโลวาเกีย วันที่ 4 กันยายน ซึ่งเป็นแมตช์แรกอย่างเป็นทางการภายใต้การคุมทัพของ แซม อัลลาไดซ์ ถ้าแพ้ก็ไม่อยากฟังคำแก้ตัวว่าเพิ่งนัดแรกไม่มีเวลารวมตัวกันมากพอ หลังพ่าย ไอซ์แลนด์ 1-2 ตกรอบ 16 ทีมส่งท้ายบังเหียน รอย ฮอดจ์สัน ที่เก็บข้าวของลาออกในทันที
ต้องมาลุ้นกันว่าไลน์-อัพ ของ “บิ๊กแซม” จะมีหน้าตาอย่างไร แต่ดูจากรายชื่อ 23 คน ที่เรียกมาก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นนอกจาก มิคาอิล อันโตนิโอ มิดฟิลด์วัย 26 ปี จาก เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด ที่ติดธงเป็นครั้งแรก โดยเจ้าตัวบอกปัดโอกาสเล่นให้ จาเมกา ก่อนย้ายจาก น็อตติงแฮม ฟอเรตส์ ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 350 ล้านบาท) เมื่อปี 2015 ส่วนปีที่แล้วยิงไป 8 ประตูจาก 26 นัดใน พรีเมียร์ ลีก ให้กับ “ขุนค้อน” ดูจากหน่วยก้านแล้วตำแหน่งถนัดก็คือตัวริมเส้น
แมตช์นี้ อันโตนิโอ อาจจะไม่ถูกส่งลงสนามเลยก็ได้ เพราะดูจากตำแหน่งนั้นมีทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, อดัม ลัลลานา และ ธีโอ วัลคอตต์ ขวางทางอยู่ แถมเพิ่งจะมีประสบการณ์เล่นในลีกสูงสุดเต็มฤดูกาลแค่ปีเดียวเท่านั้น
เมื่อเทียบจากชุด ยูโร 2016 ปรากฏว่า มีการเปลี่ยนแปลง 5 ราย เจมส์ มิลเนอร์ แข้งสารพัดประโยชน์เลิกเล่นทีมชาติไปด้วยวัย 30 ปี มาร์คัส แรชฟอร์ด หอกดาวรุ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเล่นชุดยู 21 ปี ไรอัน เบอร์ทรานด์ แบ็กซ้ายบาดเจ็บ อีกที่หายไป คือ 2 กองกลาง แจ๊ค วิลเชียร์ (อาร์เซนอล) กับ รอส บาร์คลีย์ (เอฟเวอร์ตัน) รายหลังนั้นเหมือนยังไม่ตื่นจากฝันร้าย เพราะที่ฝรั่งเศส ฮอดจ์สัน ไม่เรียกใช้แม้แต่นาทีเดียว
อังกฤษชุดปัจจุบันดูแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีทีเด็ดกว่าชุด ยูโร 2016 ตรงไหน ยิ่งถ้าผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่รัสเซียแล้วต้องเจอกับพวกเขี้ยวลากดินจากอเมริกาใต้อีก ดังนั้น ถ้า “บิ๊กแซม” ไม่มีกึ๋นจริง ๆ “สิงโตคำราม” มีหวังต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง
เอ่ยถึงกึ๋นของ “บิ๊กแซม” คงต้องย้อนไประหว่างปี 1999 - 2007 ที่คุม โบลตัน วันเดอเรอร์ส โดยเลือกใช้นักเตะตัวเก๋าอย่าง บรูโน เอ็น'ก็อตตี, เฟรดี โบบิช, ยูริ จอร์เกฟฟ์, อิบัน คัมโป, เฟร์นานโด เฮียร์โร, แกรี สปีด และ มาริโอ ยาร์เดล ยืมบ้างซื้อบ้างตามกำลังของทีม แต่ประเด็นคือมัน “เวิร์ก” ซึ่งที่เข้าตาสุด ก็คือ เจย์-เจย์ โอโคชา จอมทัพไนจีเรีย
แต่พอหมดยุคนั้นผลงาน อัลลาไดซ์ ก็ไม่เข้าตาทั้งคุม นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส, เวสต์ แฮม จนกระทั่งล่าสุดสโมสรสุดท้ายก่อนถูก อังกฤษ ดึงตัวมาก็คือ ซันเดอร์แลนด์ เรียกได้ว่า “สิงโตคำราม” ที่กำลังโหยหาความสำเร็จกลับเลือกใช้กุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องพาทีมหนีตกชั้น
จริง ๆ กุนซือระดับไหนก็ไม่สำคัญเท่าคนที่รู้จักทีมตนเองและเลือกใช้ศักยภาพที่มี อัลลาไดซ์ เคยคุม โบลตัน กับหัวหอกที่มีอย่าง เควิน เดวีส์ ซึ่งทำเอากองหลังทุกทีมประหวั่นพรั่นพรึง แม้ไม่ยิงเป็นกอบเป็นกำแต่มีทีเด็ดตรงลูกกลางอากาศและแรงปะทะ ดังนั้น “สิงโตคำราม” จะไปต่อบอลสู่กับทีมอื่นทำไม เพราะถ้าธรรมชาติและสไตล์สร้างมาให้เหมาะกับดาวยิงตัวใหญ่ก็เลือกให้ถูกคนใช้งานให้เป็นประโยชน์ โยน...โขก โยน...ชน จะเป็นไร
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *