ผู้จัดการรายวัน 360 - เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จ่าฝูง ศึกฟุตบอล โตโยต้า ไทย ลีก 2016 เดินหน้าเสริมเขี้ยวเล็บด้วยการคว้าสตาร์ชื่อดังร่วมทัพในตลาดซื้อ - ขาย นักเตะเลกสอง โดยหวังใส่เกียร์เดินหน้าคว้าแชมป์ม้วนเดียวจบ ทว่า เหล่าบรรดาทีมพระรองที่ยังมีโอกาสลุ้นโทรฟีก็ไม่น้อยหน้า กวาดแข้งที่หวังเป็นทีเด็ดหมายพลิกสถานการณ์เช่นเดียวกัน จึงเป็นที่น่าจับตาว่าในอีกครึ่งทางที่เหลือ ทีมใดจะชอปปิ้งได้เข้าเป้าสุดและเป็นฝ่ายเข้าวิน
เอสซีจี เมืองทองฯ แชมป์ 3 สมัย ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน หลังจากที่กวาดแข้งทีมชาติไทยเข้ารัง 5 รายรวด เมื่อต้นซีซัน จนผลงานพุ่งกระฉูด ปัจจุบัน แข่ง 18 นัด ชนะ 16 แพ้ 2 มี 48 คะแนน รั้งผู้นำของตาราง ในเลกสอง ยังคงเดินหน้าดูดแข้งฝีเท้าดีเข้ารังต่อเนื่อง นำโดย “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีมชาติไทย และ อดิศร พรหมรักษ์ ปราการหลังช้างศึก ขณะที่แข้งต่างชาติ ดึง ซูมาโฮโร ยายา ปีกตัวจี๊ดชาวไอวอรี โคสต์ ที่เคยช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมื่อปี 2009 กลับมาร่วมงานอีกครั้ง และส่งให้ครบโควตา 5 คนพอดี
ซึ่งในการประเดิมเลกสอง “กิเลนผยอง” แสดงให้เห็นแล้วว่าทีมคือเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ฤดูกาลนี้ เพราะแม้จะพัก “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ มิดฟิลด์ตัวเก่ง ไว้บนม้านั่ง แล้วให้ ธีราทร ที่เป็นแบ็กซ้าย ลงมาสร้างสรรค์เกมแดนกลางแทน ก็สามารถทำได้อย่างไหลลื่น เปิดบ้านถล่ม นครราชสีมา เอฟซี 4-1 นักเตะในทีมสามารถสลับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อย่างไร้ปัญหา โดยที่แดนหน้ามี เคลย์ตัน ซิลวา ที่ทำไปแล้ว 19 ประตู รับบทมือปืน
อย่างไรก็ตาม เหล่าบรรดาพระรองที่ยังพอมีโอกาสเบียดแย่งแชมป์ ทุกทีมต่างไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เร่งเสริมทัพเช่นเดียวกัน ไล่ตั้งแต่ อันดับ 2 แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่มี 44 คะแนน หลังจากได้ มาริโอ ยูรอฟสกี เพลย์เมกเกอร์มาซิโดเนีย เข้ามาบัญชาเกมรุกจนฟอร์มกระฉูด ล่าสุด ในเลกสอง จัดการคว้าอาวุธหนักอย่าง กิลแบร์โต มาเชนา ศูนย์หน้าบราซิล ที่เคยซัลโวให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 21 ประตู เมื่อซีซัน 2015 กลับมาเขย่าเวทีไทยลีกอีกครั้ง
โดยหอกวัย 32 ปี จะเข้ามาเสริมความคมในแนวรุก “แข้งเทพ” ร่วมกับ ยูรอฟสกี (7 ประตู), ดราแกน บอสโควิช (10 ประตู), เจย์ซี จอห์น (7 ประตู) และ “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย (3 ประตู) นอกจากนี้ แบงค็อก ยังป้องกันหลังบ้านด้วยการดึง ปรัชญ์ สมัคราษฎร์ เซ็นเตอร์ตัวเก๋า วัย 30 ปี จาก สุพรรณบุรี เอฟซี มาเป็นกำลังพลอีกด้วย ดังนั้น เชื่อได้ว่าในครึ่งทางที่เหลือ ลูกทีมของ มาโน โพลกิง จะเดินเกมหน้าล่าตาข่ายได้เฉียบคมยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
ถัดมาที่อันดับ 3 บางกอกกล๊าส เอฟซี มี 36 คะแนน เลกสอง ได้ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ นั่งแท่นกุนซือ พร้อมปล่อยแข้งหลักพ้นทีมหลายราย อาทิ ธนาสิทธิ์ ศิริผลา, บดินทร์ ผาลา, ดาร์โก ทาเซฟสกี และ ลาซารัส คาอิมบี ขณะเดียวกัน ก็เสริมผู้เล่นใหม่ได้โดนใจแฟนบอล ไม่ว่าจะเป็น จักรพันธ์ พรใส ปีกตัวจี๊ดจากสุพรรณบุรี เอฟซี, โรแม็ง กัสมี หอกชาวฝรั่งเศส และ คาลิฟา ซิสเซ ตัวรับจากแบงค็อก ซึ่งทั้ง 3 ราย มีประสบการณ์บนเวทีลีกสูงสุดลูกหนังไทยมาอย่างโชกโชน สามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต้องเทสต์ ส่งให้ “บีจี” จะมีการปรับเปลี่ยนระบบการเล่นใหม่ จากเดิมใช้หลัง 3 คน มาเป็น 4-4-2 โดยมี “เจ้าบอล” คอยลากเลื้อยริมเส้นขนานกับ ศราวุฒิ มาสุข ป้อนบอลงาม ๆ ให้คู่หัวหอก คือ เอเรียล โรดริเกวซ กองหน้าทีมชาติคอสตาริกา (12 ประตู) กับ สุรชาติ สารีพิมพ์ (7 ประตู)
ส่วนทีมสุดท้ายที่พอจะมีลุ้นโทรฟีคงไม่มีใครกาชื่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์ 4 สมัย ทิ้งแน่นอน เพราะแม้จะฟอร์มบู่ ชนะ 8 เสมอ 7 แพ้ 3 มี 31 คะแนน ห่างจากจ่าฝูงถึง 17 แต้ม แต่ “ปราสาทสายฟ้า” ไม่รีรอให้สายเกินแก้ เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนโค้ชมาเป็น อัฟชิน ก็อตบิ กุนซือมือเก๋าชาวอิหร่าน ก่อนจัดหนักเปิดตัวนักเตะใหม่ให้ได้ฮือฮา โดยแข้งนอก 2 คน ที่จะเปลี่ยนเข้ามา คือ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต เจ้าของสถิติยิงประตูต่อซีซันมากที่สุด 33 ประตู เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่คัมแบ็กคืนสนามอีกครั้ง หลังจากบาดเจ็บยาวจนหลุดโผในเลกแรก จับคู่กับ บรูโน โมไรรา กองหน้าจากสโมสร ปากอส แฟร์โรรา ในลีกสูงสุดโปรตุเกส ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ คิม เซือง ยอง และ เวสลีย์ เฟย์โตซา
ฟากแบ็กซ้าย หลังขาย ธีราทร พ้นทีม บุรีรัมย์ คว้า กรกช วิริยะอุดมศิริ จากชลบุรี เอฟซี มาประจำการ พร้อมด้วย อับดุลฮาฟิส บือราเฮง ดาวรุ่งวัย 20 ปี จาก ดิวิชั่น 2 มาสแตนด์บาย ส่วนฝั่งขวาดึง ซากีรีน ตีกาสม จากเชียงราย ยูไนเต็ด ที่เล่นได้ทั้งแบ็กและปีกมาเป็นกำลังเสริม แดนกลางมีอาวุธลับใหม่อย่าง อเล็กซานเดอร์ ซีกฮาร์ท กองกลางลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่ตบเท้ามาพร้อมกับ จิตปัญญา ทิสุด จากชัยนาท ฮอร์นบิล ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ทีมสามารถเปลี่ยนระบบการเล่นได้หลากหลาย เหลือเพียงแค่ว่าจะจูนกันติดได้เร็วขนาดไหน
สำหรับเกมต่อไปทุกทีมจะลงสนามนัดกลางสัปดาห์ ในวันพุธที่ 29 มิถุนายน นี้ โดย เอสซีจี เมืองทองฯ จะบุกเยือน บางกอกกล๊าส เวลา 20.00 น. ขณะที่ แบงค็อก เปิดบ้านรับ พัทยา ยูไนเต็ด เวลา 19.00 น. ส่วน บุรีรัมย์ เยือน ราชนาวี เวลา 18.00 น.