ผู้จัดการรายวัน 360 - ชลบุรี เอฟซี นับเป็นหนึ่งในบิ๊กทีมลูกหนังไทย จากการมีลุ้นแย่งแชมป์ลีกสูงสุดและฟุตบอลถ้วยเกือบทุกฤดูกาล ทว่า ผลงานล่าสุดกลับย่ำแย่ทั้งในสนาม และการจัดการนอกสนาม ซึ่งระเบิดเวลานี้ยังคงนับถอยหลังต่อไป เนื่องจากผู้บริหารนิ่งเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ต่างจากอีกหลายสโมสรที่พยายามผลักดันตัวเองขึ้นมาสู่แถวหน้า ดังนั้น จึงมีแนวโน้มสูงที่ปีนี้ “ฉลามชล” จะต้องเผชิญกับฤดูกาลย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม
ชลบุรี เอฟซี คือ ทีมแรกจากโปรวิเชียลลีกที่คว้าแชมป์ ไทย ลีก ได้หลังจากมีการรวมลีกเข้าด้วยกันเมื่อปี 2007 ทว่านั่นคือ ครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสรกับโทรฟีใบนี้ โดยหลังจากนั้น 8 ปีทำได้แค่เฉี่ยวไปมา ซึ่งแม้จะไม่ถึงจุดสูงสุดแต่แฟนคลับยังคงให้การสนับสนุนด้วยดีมาตลอด เนื่องจากมีลุ้นทุกปี คว้ารองแชมป์ถึง 5 ครั้ง ในปี 2008, 2009, 2011, 2012, 2014 รวมถึงอันดับ 3 ปี 2010, 2013 และอันดับ 4 ในซีซันที่แล้วปี 2015 นอกจากนี้ ยังมีโทรฟีฟุตบอลถ้วยมาทำให้ใจชุ่มชื้นเป็นระยะ คือ แชมป์ เอฟเอ คัพ ปี 2010 และถ้วยพระราชทาน ก ปี 2007, 2008, 2011, 2012
ทว่า ในฤดูกาลนี้เกิดคำถามขึ้นว่า “ฉลามชล” ยังคือบิ๊กทีมที่พร้อมจะลุ้นแชมป์อีกหรือไม่ หลังผลงานปัจจุบันในลีก แข่งไปแล้ว 15 นัด ชนะ 5 เสมอ 4 แพ้ 6 มี 19 แต้ม รั้งอันดับที่ 11 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถึง 20 คะแนน โดยเคยฟอร์มบู่ไม่ชนะ 4 นัดติด และล่าสุดเพิ่งแพ้ 3 นัดติดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีม ทั้งที่มีสตาร์ดีกรีทีมชาติไทยเป็นขุมกำลังมากมายทั้ง “ก้อง” เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, ประกิต ดีพร้อม, สุทธินันท์ พุกหอม และ ปกเกล้า อนันต์
สัญญาณดังกล่าวเริ่มแสดงให้เห็นตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว จากการที่ควานหาชัยชนะไม่เจอถึง 6 นัดติด และต้องจบซีซันด้วยอันดับต่ำที่สุดตั้งแต่เข้าร่วมโม่แข้ง รวมถึงเมื่อจบปีได้ทำการปล่อยผู้เล่นตัวหลักออกไป ไม่ว่าจะเป็น สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, อดุล หละโสะ และ ติอาโก คุนญา กองหน้าต่างชาติที่ดีที่สุดของทีม โดยคนที่เข้ามาทดแทนในตำแหน่งมือปืนหมายเลขหนึ่ง คือ โรดริโก เวอร์จิลิโอ หอกแซมบ้าที่ดึงตัวมาจากราชนาวี ทีมที่เพิ่งดิ้นรนหนีตกชั้น ซึ่งปัจจุบันเพิ่งทำไป 5 ประตู
และสิ่งที่ตอกย้ำว่า ชลบุรี อาจจะถอยหลังลงคลองและมือเปล่าในซีซันนี้ คือ การใหัสัมภาษณ์ของ อรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสร ว่า ทีมจะไม่มีนักเตะใหม่เข้ามาเสริมในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบสองนี้ โดยมีเพียงการดึง “บังดุล” กลับมาช่วยทีมด้วยสัญญายืมตัวเท่านั้น เนื่องจากสถานะทางการเงินฝืดเคือง ที่สำคัญ อาจจะยังมีผู้เล่นที่ย้ายออกจากทีมอีกด้วย ต่างจากทีมพระรองอื่น ๆ ที่ทุ่มทุนคว้าสตาร์ทั้งไทยและต่างชาติ จนผลงานโลดแล่น อาทิ แบงค็อก ยูไนเต็ด (อันดับ 2) บางกอกกล๊าส เอฟซี (อันดับ 3) หรือ เชียงราย ยูไนเต็ด (อันดับ 5) โดยไม่ต้องนับถึงคู่ปรับสำคัญในการแย่งแชมป์อย่าง เอสซีจี เมืองทองฯ และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ยังคงเดินหน้าตามสไตล์
อีกปัจจัยที่แฟนบอลมุ่งเป้าไปคงหนีไม่พ้นการทำหน้าที่ของ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ผู้จัดการทีมที่คอยสั่งการและบงการแผนการเล่นข้างสนาม ซึ่งหลังผ่าน 15 นัด ปฏิเสธไม่ได้ว่า “โค้ชเทิด” สอบตกในการผันตัวจากนักเตะมาเป็นกุนซือปีแรก ซึ่งทางผู้บริหารทีมยังยืนยันว่าจะใช้บริการอดีตแข้งทีมชาติไทย วัย 42 ปีนี้ต่อไป
โดย เทิดศักดิ์ ยอมรับว่า ทีมอยู่ในช่วงที่ถอยหลังจริง “ต้องยอมรับว่าทีมอยู่ในช่วงที่ผลงานไม่ดี เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนแปลง ปีนี้เราเปลี่ยนผู้เล่นใหม่เกือบครึ่งทีม และไม่มีงบก้อนโตที่จะทุ่มซื้อนักเตะ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ถอดใจ ช่วงนี้เราต้องยอมเจ็บเพื่อรอให้นักเตะดาวรุ่งหน้าใหม่ก้าวขึ้นมา ถือเป็นอีกวิธีที่จะใช้ในการสู้กับทีมที่มีเงินซื้อผู้เล่น ผมยังเชื่อว่าอีก 2 ปีข้างหน้า เราจะกลับมาอยู่จุดเดิม ดังนั้น แฟนบอลต้องลืมภาพเก่า ๆ ที่เรามีนักเตะทีมชาติเกือบทั้งทีม และชนะคู่แข่งได้ทุกทีม สำหรับในฤดูกาลนี้ในลีกคงเป็นงานยาก แต่เรามุ่งเน้นไปที่ฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการที่ยังมีลุ้น”
เมื่อทุกอย่างยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง จากทีมหัวตารางที่เคยลุ้นแย่งแชมป์อย่างสนุก ในฤดูกาลนี้ “ฉลามชล” อาจจบซีซันด้วยผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมอีกครั้ง โดยเกมต่อไป ชลบุรี จะบุกเยือนน้องใหม่ บีบีซียู เอฟซี ที่สนาม เฉลิมพระเกียรติ ท.นครนนท์ ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน นี้ เวลา 18.00 น. ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการคว้า 3 คะแนนกลับรังสถานเดียว จึงจะเรียกความมั่นใจของแฟนบอลกลับคืนมาได้บ้าง