คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ถึงเวลานี้การเอ่ยชื่อ วิชัย ศรีวัฒนประภา แล้วถามว่านี่คือใคร เด็กนักเรียนอนุบาล ก็คงตอบได้ว่าเขาคือเจ้าของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี ผู้ปลุกชีพ “เดอะ ฟ็อกซ์” จากทีมฟุตบอลธรรมดาในเดอะ แชมเปียนชิป ก้าวมารั้งอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่บางทีเราอาจไม่เคยรู้ว่าก่อนจะมาซื้อเลสเตอร์ แล้วทำให้มาอยู่ระดับนี้ เขาคิดอะไรบ้าง
สำหรับ “เสี่ยวิชัย” ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอันใหญ่โตโอฬารอย่าง “คิงเพาเวอร์” บอกกล่าวถึงการตัดสินใจมาซื้อทีมเลสเตอร์เมื่อหลายปีก่อนว่า ตอนนั้นรู้จักเพื่อนฝูงในแวดวงฟุตบอลอังกฤษ โดยเฉพาะ ประธานทีม เรดดิง เคยเตือนเหมือนกันว่า อย่ามาทำเลยธุรกิจนี้ กำไรยาก มีแต่เรื่องเสียเงิน แต่เจ้าตัวบอกไปว่า อยากซื้อทีมฟุตบอลที่ใหญ่กว่านี้ ดังกว่านี้ ตอนแรกเล็งไว้ที่ลอนดอน ชอบมาก คือ เชลซี แต่มูลค่าเขาสูงมากเงินมันไม่พอ เลยต้องเลือกทีมระดับรองลงมา มองไปมองมา เลสเตอร์ นี่แหละ เพราะห่างจากลอนดอนสัก 2 ชั่วโมง
พอเลือก เลสเตอร์ ก็เดินทางไปดูเลย พบกับ มิลาน มันดาริช ประธานทีม บอกเอามา 20 ล้านปอนด์ ก่อนตกลงใน 7 วัน แต่มารู้ทีหลังว่าสนามก็ติดจำนอง แถมสัญญาเช่าร้านค้าในก็เซ็นกันระยะยาวไปแล้ว สรุปต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ตกลงกันไว้ด้วย เพราะเมื่อตกลงกันแล้วจะทำอย่างไรได้
พอมาถึงนักธุรกิจย่อมต้องมองเรื่องกำไร การจะเอาเงินไปทุ่มซื้อผู้เล่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงเล็งเห็นถึงการปั้นนักเตะเยาวชนจากอะคาเดมี เพื่อขาย “เจ้าสัววิชัย” บอกว่า จากเด็ก 300-400 คน หากปีหนึ่งขายได้สัก 5-6 คน ก็น่าจะพอพยุงฐานะสโมสร แต่มันไม่ง่ายกว่าที่นักเตะคนหนึ่งจะเก่งกาจมันอาจต้องไช้เวลาหลายปี ที่สำคัญเรื่องเหล่านี้เป็นการอดทนรอคอยเวลา
เมื่อจะสร้างผู้เล่นให้ดี การฝึกซ้อมเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทเพื่อสร้างสนามฝึกซ้อม ด้วยการเปลี่ยนหญ้าทั้งสนาม นักฟุตบอลเยาวชนจะได้ทำผลงานได้ดี ซ้อมแล้วไม่เจ็บ หรือหน้าหนาว หน้าฝน ก็ยังสามารถซ้อมได้ต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องฟิตเนสที่ต้องให้ความสำคัญ
ความหวังในการทำทีมอย่าง เลสเตอร์ คือ การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก อันเป็นลีกสูงสุด เมื่อทำได้ด้วยผู้เล่นที่มีอยู่ สิ่งที่ต้องโฟกัสต่อไปเป็นการอยู่รอด ปีที่แล้ว “จิ้งจอกสยาม” รอดพ้นการตกชั้นอย่างเหลือเชื่อ ด้วยสปิริตผู้เล่น และทีมสตาฟฟ์โค้ช ที่ทุ่มเทพาทีมอยู่รอด กลับมาสู่ฤดูกาลนี้ด้วยระบบการเล่น นักเตะที่เคยโนเนมอย่าง เจมี วาร์ดี หรือริยาด มาห์เรซ แดนนี ดริงค์วอเตอร์ กลายเป็นดาวจรัสแสง หลายคนติดทีมชาติ มูลค่าของฝีเท้าก็เพิ่มขึ้นเมื่อมายืนจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก และกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ด้วยการยืนระยะจนถึงโค้งสุดท้าย เมื่อจบฤดูกาลดาวดังเหล่านี้หากย้ายทีมก็มีมูลค่าทำกำไรให้สโมสรได้ดีเสียอีก
ถึงตอนนี้คงพูดได้เต็มปากว่า วิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นคนไทยคนแรกที่มีสิทธิลุ้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเต็มตัว ได้แล้ว...
ถึงเวลานี้การเอ่ยชื่อ วิชัย ศรีวัฒนประภา แล้วถามว่านี่คือใคร เด็กนักเรียนอนุบาล ก็คงตอบได้ว่าเขาคือเจ้าของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี ผู้ปลุกชีพ “เดอะ ฟ็อกซ์” จากทีมฟุตบอลธรรมดาในเดอะ แชมเปียนชิป ก้าวมารั้งอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่บางทีเราอาจไม่เคยรู้ว่าก่อนจะมาซื้อเลสเตอร์ แล้วทำให้มาอยู่ระดับนี้ เขาคิดอะไรบ้าง
สำหรับ “เสี่ยวิชัย” ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอันใหญ่โตโอฬารอย่าง “คิงเพาเวอร์” บอกกล่าวถึงการตัดสินใจมาซื้อทีมเลสเตอร์เมื่อหลายปีก่อนว่า ตอนนั้นรู้จักเพื่อนฝูงในแวดวงฟุตบอลอังกฤษ โดยเฉพาะ ประธานทีม เรดดิง เคยเตือนเหมือนกันว่า อย่ามาทำเลยธุรกิจนี้ กำไรยาก มีแต่เรื่องเสียเงิน แต่เจ้าตัวบอกไปว่า อยากซื้อทีมฟุตบอลที่ใหญ่กว่านี้ ดังกว่านี้ ตอนแรกเล็งไว้ที่ลอนดอน ชอบมาก คือ เชลซี แต่มูลค่าเขาสูงมากเงินมันไม่พอ เลยต้องเลือกทีมระดับรองลงมา มองไปมองมา เลสเตอร์ นี่แหละ เพราะห่างจากลอนดอนสัก 2 ชั่วโมง
พอเลือก เลสเตอร์ ก็เดินทางไปดูเลย พบกับ มิลาน มันดาริช ประธานทีม บอกเอามา 20 ล้านปอนด์ ก่อนตกลงใน 7 วัน แต่มารู้ทีหลังว่าสนามก็ติดจำนอง แถมสัญญาเช่าร้านค้าในก็เซ็นกันระยะยาวไปแล้ว สรุปต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ตกลงกันไว้ด้วย เพราะเมื่อตกลงกันแล้วจะทำอย่างไรได้
พอมาถึงนักธุรกิจย่อมต้องมองเรื่องกำไร การจะเอาเงินไปทุ่มซื้อผู้เล่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงเล็งเห็นถึงการปั้นนักเตะเยาวชนจากอะคาเดมี เพื่อขาย “เจ้าสัววิชัย” บอกว่า จากเด็ก 300-400 คน หากปีหนึ่งขายได้สัก 5-6 คน ก็น่าจะพอพยุงฐานะสโมสร แต่มันไม่ง่ายกว่าที่นักเตะคนหนึ่งจะเก่งกาจมันอาจต้องไช้เวลาหลายปี ที่สำคัญเรื่องเหล่านี้เป็นการอดทนรอคอยเวลา
เมื่อจะสร้างผู้เล่นให้ดี การฝึกซ้อมเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทเพื่อสร้างสนามฝึกซ้อม ด้วยการเปลี่ยนหญ้าทั้งสนาม นักฟุตบอลเยาวชนจะได้ทำผลงานได้ดี ซ้อมแล้วไม่เจ็บ หรือหน้าหนาว หน้าฝน ก็ยังสามารถซ้อมได้ต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องฟิตเนสที่ต้องให้ความสำคัญ
ความหวังในการทำทีมอย่าง เลสเตอร์ คือ การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก อันเป็นลีกสูงสุด เมื่อทำได้ด้วยผู้เล่นที่มีอยู่ สิ่งที่ต้องโฟกัสต่อไปเป็นการอยู่รอด ปีที่แล้ว “จิ้งจอกสยาม” รอดพ้นการตกชั้นอย่างเหลือเชื่อ ด้วยสปิริตผู้เล่น และทีมสตาฟฟ์โค้ช ที่ทุ่มเทพาทีมอยู่รอด กลับมาสู่ฤดูกาลนี้ด้วยระบบการเล่น นักเตะที่เคยโนเนมอย่าง เจมี วาร์ดี หรือริยาด มาห์เรซ แดนนี ดริงค์วอเตอร์ กลายเป็นดาวจรัสแสง หลายคนติดทีมชาติ มูลค่าของฝีเท้าก็เพิ่มขึ้นเมื่อมายืนจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก และกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ด้วยการยืนระยะจนถึงโค้งสุดท้าย เมื่อจบฤดูกาลดาวดังเหล่านี้หากย้ายทีมก็มีมูลค่าทำกำไรให้สโมสรได้ดีเสียอีก
ถึงตอนนี้คงพูดได้เต็มปากว่า วิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นคนไทยคนแรกที่มีสิทธิลุ้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเต็มตัว ได้แล้ว...
