คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนบอลไม่น้อย เมื่อ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียก จักรพันธ์ แก้วพรม มิดฟิลด์ตัวเก่งของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดธงเป็น 1 ใน 23 ขุนพลช้างศึก ลงเล่นรายการ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย นัดสุดท้าย กลุ่มเอฟ บุกเยือน ทีมชาติอิรัก ที่สนามกลาง ปาส เตหะราน สเตเดียม ประเทศอิหร่าน วันที่ 24 มีนาคม นี้
หากพูดถึงนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีและสม่ำเสมอที่สุด แถมยังมีดีกรีแชมป์นับไม่ถ้วนติดตัวจากการลงเล่นให้กับสโมสรอันดับ 1 ของเมืองไทย ชื่อของ จักรพันธ์ ติดอันดับต้นๆแน่นอน ทว่าในนามทีมชาติ “เจ้าโน้ต” กลับเหมือนเส้นทางคู่ขนาน ครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสติดธงคือเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2014 หรือกว่า 2 ปีมาแล้ว
เกมดังกล่าวเป็นการประเดิมคุมทีมชาติชุดใหญ่ของ “ซิโก้” ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาหลังนำทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2013 ในแมตช์สั่งลา เอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ที่พ่ายคาบ้านต่อ เลบานอน 2-5 โดย “เจ้าโน้ต” ได้ออกสตาร์ทตัวจริง ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกนาที 59 รวมสถิติในทีมชาติ 16 นัด 1 ประตู
หลังจากนั้น แข้งชาวบุรีรัมย์โดยกำเนิดรายนี้ ก็ถูกหมางเมินมาตลอดทั้ง เอเชียนเกมส์ 2014 เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 รวมถึงในรายการคัดบอลโลกครั้งล่าสุด 5 นัดแรกที่ผ่านมา แม้ว่าเจ้าตัวจะโชว์ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซกับต้นสังกัด “ปราสาทสายฟ้า” ในฐานะจอมทัพหมายเลข 10 ได้ดีขนาดไหนก็ตาม
สำหรับ จักรพันธ์ เริ่มต้นอาชีพในสังกัด บีอีซี เทโรศาสน มากว่า 4 ปี จนฟอร์มเข้าตาถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด ดึงตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 2010 และในวัยเพียง 21 ปี เจ้าตัวสามารถเบิกประตูให้กับ “กิเลนผยอง” ได้ตั้งแต่ลงสนามนัดแรกในฐานะตัวสำรอง ศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2010 รอบคัดเลือก บุกชนะ เอสเอชบี ดาหนัง (เวียดนาม) 3-0 พร้อมฝากผลงานรวมทุกรายการไว้ที่ 43 นัด 4 ประตู คว้าแชมป์ไทยลีก ควบตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร
ก่อนที่ซีซันถัดมาจะย้ายมาอยู่กับ “ปราสาทสายฟ้า” และเพียงปีแรกในถิ่นอีสานใต้ “เจ้าโน้ต” ก็ระเบิดฟอร์มจนคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยม ในรายการ ลีก คัพ 2011 ก่อนจะกลายเป็นกำลังสำคัญแดนกลางให้กับ บุรีรัมย์ กวาดแชมป์ทุกใบของทีม ไล่ตั้งแต่ ไทยลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และถ้วยพระราชทาน ก อย่างละ 4 สมัย
แม้ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็มในสีเสื้อบุรีรัมย์ เจ้าตัวจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด โดยเฉพาะอาการเรื้อรังบริเวณหัวเข่าข้างซ้ายที่เคยฉีกขาดและต้องพักยาว จนลงสนามได้ไม่ต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้นด้วยความสามารถอันเอกอุ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ของฝีเท้า ครบเครื่องทั้งการจ่ายบอลสั้น บอลยาว การยิงประตู และมีเซนส์บอลที่ชาญฉลาด ที่สำคัญยามสมบูรณ์เต็มร้อยยังเป็นนักเตะที่ฟิตและมีส่วนร่วมกับเกมอยู่ตลอด มีสถิติวิ่งได้ถึง 10 กิโลเมตรต่อหนึ่งเกม จึงทำให้ “เจ้าโน้ต” ไม่เคยถูกตัดออกจากทีม นับเป็นนักเตะที่ เนวิน ชิดชอบ ไว้ใจและเฝ้ารอคอยเจ้าตัวคืนสนามทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีนักเตะกี่สิบรายหมุนเวียนย้ายเข้าย้ายออกภายในทีมก็ตาม
ปัจุบันในวัย 27 ปี จักรพันธ์ ถูกเรียกตัวติดธงช้างศึกอีกครั้ง แม้ยังต้องเบียดแย่งพื้นที่ตัวจริงแดนกลางกับรุ่นน้องที่เข้าระบบอยู่แล้วอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ปกเกล้า อนันต์, สารัช อยู่เย็น และสรรวัช เดชมิตร อยู่ก็ตาม แต่ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่สำคัญเจ้าตัวเพิ่งได้โอกาสสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ลงเล่นถ้วยเอเชีย แทน สุเชาว์ นุชนุ่ม และ อันเดรส ตูเนซ ที่ติดโทษแบนอีกด้วย
จึงนับเป็นการเปิดหัวปี 2016 ที่สวยหรูไม่น้อยเลยทีเดียว ภาวนาเพียงว่าอย่าให้โชคชะตาเล่นตลก โดนอาการบาดเจ็บพรากโอกาสเหมือนที่แล้วมาเป็นพอ
เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนบอลไม่น้อย เมื่อ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียก จักรพันธ์ แก้วพรม มิดฟิลด์ตัวเก่งของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดธงเป็น 1 ใน 23 ขุนพลช้างศึก ลงเล่นรายการ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย นัดสุดท้าย กลุ่มเอฟ บุกเยือน ทีมชาติอิรัก ที่สนามกลาง ปาส เตหะราน สเตเดียม ประเทศอิหร่าน วันที่ 24 มีนาคม นี้
หากพูดถึงนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีและสม่ำเสมอที่สุด แถมยังมีดีกรีแชมป์นับไม่ถ้วนติดตัวจากการลงเล่นให้กับสโมสรอันดับ 1 ของเมืองไทย ชื่อของ จักรพันธ์ ติดอันดับต้นๆแน่นอน ทว่าในนามทีมชาติ “เจ้าโน้ต” กลับเหมือนเส้นทางคู่ขนาน ครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสติดธงคือเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2014 หรือกว่า 2 ปีมาแล้ว
เกมดังกล่าวเป็นการประเดิมคุมทีมชาติชุดใหญ่ของ “ซิโก้” ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาหลังนำทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2013 ในแมตช์สั่งลา เอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ที่พ่ายคาบ้านต่อ เลบานอน 2-5 โดย “เจ้าโน้ต” ได้ออกสตาร์ทตัวจริง ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกนาที 59 รวมสถิติในทีมชาติ 16 นัด 1 ประตู
หลังจากนั้น แข้งชาวบุรีรัมย์โดยกำเนิดรายนี้ ก็ถูกหมางเมินมาตลอดทั้ง เอเชียนเกมส์ 2014 เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 รวมถึงในรายการคัดบอลโลกครั้งล่าสุด 5 นัดแรกที่ผ่านมา แม้ว่าเจ้าตัวจะโชว์ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซกับต้นสังกัด “ปราสาทสายฟ้า” ในฐานะจอมทัพหมายเลข 10 ได้ดีขนาดไหนก็ตาม
สำหรับ จักรพันธ์ เริ่มต้นอาชีพในสังกัด บีอีซี เทโรศาสน มากว่า 4 ปี จนฟอร์มเข้าตาถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด ดึงตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 2010 และในวัยเพียง 21 ปี เจ้าตัวสามารถเบิกประตูให้กับ “กิเลนผยอง” ได้ตั้งแต่ลงสนามนัดแรกในฐานะตัวสำรอง ศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2010 รอบคัดเลือก บุกชนะ เอสเอชบี ดาหนัง (เวียดนาม) 3-0 พร้อมฝากผลงานรวมทุกรายการไว้ที่ 43 นัด 4 ประตู คว้าแชมป์ไทยลีก ควบตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร
ก่อนที่ซีซันถัดมาจะย้ายมาอยู่กับ “ปราสาทสายฟ้า” และเพียงปีแรกในถิ่นอีสานใต้ “เจ้าโน้ต” ก็ระเบิดฟอร์มจนคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยม ในรายการ ลีก คัพ 2011 ก่อนจะกลายเป็นกำลังสำคัญแดนกลางให้กับ บุรีรัมย์ กวาดแชมป์ทุกใบของทีม ไล่ตั้งแต่ ไทยลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และถ้วยพระราชทาน ก อย่างละ 4 สมัย
แม้ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็มในสีเสื้อบุรีรัมย์ เจ้าตัวจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด โดยเฉพาะอาการเรื้อรังบริเวณหัวเข่าข้างซ้ายที่เคยฉีกขาดและต้องพักยาว จนลงสนามได้ไม่ต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้นด้วยความสามารถอันเอกอุ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ของฝีเท้า ครบเครื่องทั้งการจ่ายบอลสั้น บอลยาว การยิงประตู และมีเซนส์บอลที่ชาญฉลาด ที่สำคัญยามสมบูรณ์เต็มร้อยยังเป็นนักเตะที่ฟิตและมีส่วนร่วมกับเกมอยู่ตลอด มีสถิติวิ่งได้ถึง 10 กิโลเมตรต่อหนึ่งเกม จึงทำให้ “เจ้าโน้ต” ไม่เคยถูกตัดออกจากทีม นับเป็นนักเตะที่ เนวิน ชิดชอบ ไว้ใจและเฝ้ารอคอยเจ้าตัวคืนสนามทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีนักเตะกี่สิบรายหมุนเวียนย้ายเข้าย้ายออกภายในทีมก็ตาม
ปัจุบันในวัย 27 ปี จักรพันธ์ ถูกเรียกตัวติดธงช้างศึกอีกครั้ง แม้ยังต้องเบียดแย่งพื้นที่ตัวจริงแดนกลางกับรุ่นน้องที่เข้าระบบอยู่แล้วอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ปกเกล้า อนันต์, สารัช อยู่เย็น และสรรวัช เดชมิตร อยู่ก็ตาม แต่ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่สำคัญเจ้าตัวเพิ่งได้โอกาสสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ลงเล่นถ้วยเอเชีย แทน สุเชาว์ นุชนุ่ม และ อันเดรส ตูเนซ ที่ติดโทษแบนอีกด้วย
จึงนับเป็นการเปิดหัวปี 2016 ที่สวยหรูไม่น้อยเลยทีเดียว ภาวนาเพียงว่าอย่าให้โชคชะตาเล่นตลก โดนอาการบาดเจ็บพรากโอกาสเหมือนที่แล้วมาเป็นพอ