เอเยนซี - ศึก แคปิตอล วัน คัพ วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ณ เวมบลีย์ สเตเดียม ถือเป็นรอบชิงชนะเลิศที่ทุกคนตั้งตาคอยก็ว่าได้ระหว่าง ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี เพราะการชิงกันของทีมใหญ่จริงๆ ในถ้วยใบนี้ต้องย้อนไปปี 2007 ที่ เชลซี ชนะ อาร์เซนอล 2-1 ส่วนจากนั้นเป็นการสลับหน้ากันมาของสโมสรต่างระดับกันไป
ลิเวอร์พูล ถือว่าถูกโฉลกกับถ้วย ลีก คัพ เพราะเข้ารอบชิงมากที่สุด 12 ครั้งรวมปีนี้ ได้แชมป์มาแล้วสูงที่สุด 8 ครั้งแชมป์หนสุดท้ายเกิดขึ้นปี 2012 ที่ชนะจุดโทษ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี 3-2 หลัง 120 นาทีเสมอกัน 2-2 ขณะที่ แมนฯซิตี รวมเคยได้ชูถ้วย 3 ครั้งล่าสุดคือปี 2014 ที่ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-1 แต่ก่อนหน้านั้น 2 ครั้งที่เข้าชิงต้องย้อนไปถึงช่วงทศวรรษ 70
นัดชิงปีนี้ถือว่าแชมป์มีความหมายกับทั้ง 2 ทีมมากทีเดียว เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หากได้แชมป์ตั้งแต่ฤดูกาลแรกจะถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากและอาจจะเป็นการจุดประกายนำไปสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง ส่วนนักเตะชุดแชมป์ปี 2012 ที่เหลือรอดมาถึงตอนนี้มี 3 คนคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มาร์ติน สเคอร์เทล และ โฆเซ เอ็นริเก
ด้วยผลงานที่ฝากไว้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" หวังว่า คล็อปป์ เข้ามาและจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทันทีทันใด ซึ่งก็คงจะต้องไปรอหวังเอาไว้ในฤดูกาลหน้า แถมตลาดเปิดมกราคมที่ผ่านมาก็ไม่ได้ซื้อนักเตะเพิ่ม ตอนนี้สถานการณ์ใน พรีเมียร์ ลีก เกาะที่ 8 ห่างจากท็อปโฟร์ที่จะไป ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 9 แต้มเหลืออีก 12 นัด
ล่าสุดในลีก ลิเวอร์พูล บุกถล่ม แอสตัน วิลลา 6-0 โดยเป็นบ๊วยของตารางจึงไม่อาจวัดอะไรได้ ก่อนที่จะเตะ ยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดแรกไปเยือนเสมอ เอาก์สบวร์ก 0-0 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนชิง ลีก คัพ ลูกทีมของ คล็อปป์ น่าจะมีปัญหาสภาพร่างกาย เนื่องจากต้องเล่นนัด 2 ก่อนหน้านั้น 2 วัน ซึ่งก็ต้องเน้นเพราะคือทางลัดไป แชมเปียนส์ ลีก หากได้แชมป์
ส่วน แมนฯซิตี ในลีกตกมาอยู่ที่ 4 หลังแพ้คารัง 2 นัดรวดแก่ เลสเตอร์ ซิตี 1-3 และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ 1-2 โดยตามจ่าฝูง "สุนัขจิ้งจอก" 6 แต้ม จากนั้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มานูเอล เปเยกรินี นายใหญ่จัดตัวแบบวัดดวงส่งเด็กเยือน เชลซี ทำศึก เอฟเอ คัพ รอบ 5 ก่อนตกรอบแพ้ 1-5
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ แมนฯซิตี ต้องทำศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก บุกบ้าน ดินาโม เคียฟ เท่ากับว่าตอนนี้ "เรือใบสีฟ้า" เหลือลุ้น 3 แชมป์และถ้วย ลีก คัพ เหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนงานเลี้ยงส่งกุนซือที่คุมทีมตั้งแต่ปี 2013 ได้ 2 แชมป์คือ พรีเมียร์ ลีก กับ ลีก คัพ อย่างละสมัย ก่อนถูกแทนที่ด้วย เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซัมเมอร์นี้
ร็อบบี ฟาวเลอร์ ตำนานหอก ลิเวอร์พูล ที่ซัด 183 ประตูจาก 369 เกมที่เล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ได้แชมป์ ลีก คัพ 2 สมัย ซึ่งเคยสวมเสื้อ แมนฯซิตี ระหว่างปี 2003-2006 ด้วย กล่าวว่า "ตามหลักง่ายๆ แชมป์แรกคือการเรียกความมั่นใจ ด้วยนักเตะแล้วเรามีโอกาสดี แต่ก็ทราบดีว่าเป็นเกมที่ยากสำหรับ 90 นาทีที่รออยู่เบื้องหน้า ทว่าถ้าทำได้จะเป็นการเติมความมั่นใจสู่การลงเล่นในลีก"
เกมล่าสุดที่ทั้งคู่เจอกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล สร้างเซอร์ไพรส์บุกถล่ม แมนฯซิตี 4-1 คาถิ่น เอติฮัด สเตเดียม ในเกมลีก ซึ่ง เซร์คิโอ อกูเอโร หอกดีกรีทีมชาติอาร์เจนตินาของ "เรือใบสีฟ้า" ที่ปีนี้ซัดไป 17 ประตูจาก 24 นัดรวมทุกรายการ เตือนว่า "นัดชิงแล้ว ทุกคนต้องทุ่มทุกสิ่งเพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์และทำให้แฟนๆ พอใจด้วยผลงานที่ดีที่สุด เราเชื่อว่าเป็นเกมที่หนักจากการเจอกันมาแล้ว แต่ก็จะมองถึงการเอาคืนพร้อมหวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดแก้ตัวได้สำเร็จ"
รอบชิงนี้มีไฮไลท์ที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกที่ย้ายจาก ลิเวอร์พูล เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,750 ล้านบาท) เหลืออีกก้าวเดียวจะพิสูจน์ได้ว่าการย้ายจากถิ่น แอนฟิลด์ เพื่อมาคว้าแชมป์นั้นคิดถูก ส่วนความพร้อมไม่มี เควิน เดอ บรุยน์ กับ เฆซุส นาบาส 2 เพลย์เมกเกอร์ที่บาดเจ็บ แนวรับแม้ได้ แวงซองต์ กอมปานี กลับมาคุมหลังบ้าน ก็ยังเสียประตูง่ายๆ
ส่วน ลิเวอร์พูล นั้นได้ ฟิลิปเป คูตินโญ มิดฟิลด์บราซิเลียน หายเจ็บคืนทัพประสานงาน โรเบอร์โต เฟอร์มิโน ขึ้นมายิงจากแถว 2 ซึ่งถือเป็นสไตล์ถนัดในการคุมทัพของ คล็อปป์ ส่งผลให้กองหน้าฝืดไม่น้อยและแก้ปัญหานี้ไม่ตกไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน เบนเตเก ค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,787 ล้านบาท) ที่ยังไม่คุ้ม, ดาเนียล สเตอร์ริจ์ ที่หายเจ็บกลับมาแล้วแต่เหมือนยังไม่ใช่คนเดิมและ ดิว็อค โอริกี ที่กระดูกนั้นยังไม่แข็งพอที่จะฝากผีฝากไข้