คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝันสำหรับทัพนักเตะทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี หลังจอดป้ายเพียงรอบแบ่งกลุ่ม ศึกชิงแชมป์เอเชีย “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปียนชิป 2016” ที่กาตาร์ ชวดไปโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิล แต่จากความชอกช้ำครั้งนี้ยังมีการก้าวย่างไปข้างหน้าด้วยความสดใสแฝงอยู่
การต้องเจอกับ 3 ชาติลูกหนังหัวแถวของเอเชีย ที่ล้วนมีทีมชุดใหญ่เคยผ่านไปเล่นฟุตบอลโลกมาแล้ว ถือเป็นงานที่สุดหิน เนื่องจากแต่ละทีมมีการวางรากฐานมาอย่างดีตั้งแต่ชุดเยาวชน ซึ่งในทีมชุด ยู-23 ก็มีภาษีที่ข่มมิด ญี่ปุ่น จองตั๋วโอลิมปิกมาแล้ว 5 สมัยติด ส่วน ซาอุดิ อาระเบีย ก็รองแชมป์เก่า ด้าน เกาหลีเหนือ เพิ่งคว้ารองแชมป์เอเชียนเกมส์ ครั้งล่าสุด ขณะที่ ไทย เพิ่งประกาศศักดาทวงความเป็น “เจ้าอาเซียน” กลับคืนมา
ทว่าเมื่อลงสนามลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ช้างศึก แสดงให้เห็นแล้วว่า "ได้ลุ้น" การที่สามารถยันเสมอ ซาอุฯ 1-1 และ เกาหลีเหนือ 2-2 ได้นั้นถือเป็นพัฒนาการสำคัญ เป็นหนึ่งก้าวที่เห็นชัดเจน จากที่เคยผูกปีแพ้มาโดยตลอด ซึ่งรายการนี้เมื่อครั้งที่แล้ว ไทย ยังโดน “โสมแดง” กระหน่ำยิงถึง 4-2 และไม่ผ่านรอบคัดเลือกอยู่เลย แต่ครั้งนี้เจอกัน 2 หนในรอบควอลิฟาย และแบ่งกลุ่ม สามารถยื้อผลเสมอได้ทั้งคู่
แม้รูปเกมจะไม่ได้เหนือกว่า โดนคู่แข่งครองบอลบดหนักทั้งสองนัด ไม่มีจังหวะต่อโชว์เหนือทำชิ่งงามๆให้เห็นบ่อยนัก แต่ก็ยังพยายามฉกฉวยโอกาสจนกลายเป็นประตูได้ และยังคงลงเล่นด้วยสไตล์วิ่งสู้ฟัด บู๊ได้ใจคนดูตามคอนเซ็ปต์ของ “ซิโก้” แม้จะต้องปะทะกับคู่แข่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่า ดังนั้นการมี 2 แต้มเท่ากันกับ ซาอุฯ และ เกาหลีเหนือ โดยแพ้เพียงประตูได้ในมินิลีกจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย
ส่วนเกมที่โดนทัพ “ซามูไร” ถล่มเละ 0-4 นั้นต้องยอมรับสภาพว่าสู้ไม่ได้จริงๆ เป็นรองทุกด้านตั้งแต่พื้นฐานเบสิคการเล่น ความเข้าใจเกม สมรรถภาพร่างกายนักเตะ ตลอดจนแผนและแทคติกการเล่น เมื่อเปิดเกมสู้ด้วยสไตล์คล้ายกันผลจึงออกมาอย่างที่เห็น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก เพราะนี่คือทีมที่มีรากฐานแข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย มีลีกอาชีพมาแล้วถึง 24 ปี ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วจากการกำชัย 3 นัดรวดในครั้งนี้ ถือเป็นกำแพงที่สูงขึ้นไปอีกขั้น การปราชัยต่อทีมระดับนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกจริตแต่อย่างใด
นอกจากนี้ในทัวร์นาเมนท์แฟนบอลยังได้เห็นผู้เล่นหลายคนที่โชว์ฟอร์มเตะตาแม้จะเป็นเพียงตัวสำรองในสีเสื้อสโมสร เช่น เจนรบ สำเภาดี ที่สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับ “อินทรีมรกต” ในนัดแรก, สมพร ยศ นายด่านมือ 2 ของบีอีซี เทโรศาสน ที่ป้องกันจุดโทษและโชว์ซูเปอร์เซฟอุตลุด หรือ “เจ้ายิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ดาวรุ่งวัย 18 ปี ที่ได้โอกาสลงสัมผัสเกมในระดับที่เกินอายุของตัวเอง
สิ่งสำคัญที่สุดคือนักเตะทุกคนได้ประสบการณ์กลับบ้านได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดของทวีปในระดับนี้ ได้มองเห็นว่ามีสิ่งใดที่ต้องกลับไปแก้ไข มีอีกหลายสิ่งที่ต้องนำไปปรับปรุงเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งเรื่องสมาธิ ความละเอียดในการเล่น ตลอดจนการยืนระยะ ฟุตบอลระดับนี้จู่ๆจะทะลุกลางปล้องสร้างเซอร์ไพรส์ได้ทันทีทันใดคงทำไม่ได้ ดังนั้นตัวแฟนบอลเองก็อย่างเพิ่งตั้งความหวังไว้สูง คอยเป็นกำลังใจเชียร์ให้ได้มาเตะรายการระดับนี้บ่อยๆในทุกๆรุ่น เมื่อได้เจอทีมระดับท็อปของทวีปบ่อยๆ มาตรฐานของทีมก็จะพัฒนาขึ้นเอง
สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝันสำหรับทัพนักเตะทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี หลังจอดป้ายเพียงรอบแบ่งกลุ่ม ศึกชิงแชมป์เอเชีย “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปียนชิป 2016” ที่กาตาร์ ชวดไปโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิล แต่จากความชอกช้ำครั้งนี้ยังมีการก้าวย่างไปข้างหน้าด้วยความสดใสแฝงอยู่
การต้องเจอกับ 3 ชาติลูกหนังหัวแถวของเอเชีย ที่ล้วนมีทีมชุดใหญ่เคยผ่านไปเล่นฟุตบอลโลกมาแล้ว ถือเป็นงานที่สุดหิน เนื่องจากแต่ละทีมมีการวางรากฐานมาอย่างดีตั้งแต่ชุดเยาวชน ซึ่งในทีมชุด ยู-23 ก็มีภาษีที่ข่มมิด ญี่ปุ่น จองตั๋วโอลิมปิกมาแล้ว 5 สมัยติด ส่วน ซาอุดิ อาระเบีย ก็รองแชมป์เก่า ด้าน เกาหลีเหนือ เพิ่งคว้ารองแชมป์เอเชียนเกมส์ ครั้งล่าสุด ขณะที่ ไทย เพิ่งประกาศศักดาทวงความเป็น “เจ้าอาเซียน” กลับคืนมา
ทว่าเมื่อลงสนามลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ช้างศึก แสดงให้เห็นแล้วว่า "ได้ลุ้น" การที่สามารถยันเสมอ ซาอุฯ 1-1 และ เกาหลีเหนือ 2-2 ได้นั้นถือเป็นพัฒนาการสำคัญ เป็นหนึ่งก้าวที่เห็นชัดเจน จากที่เคยผูกปีแพ้มาโดยตลอด ซึ่งรายการนี้เมื่อครั้งที่แล้ว ไทย ยังโดน “โสมแดง” กระหน่ำยิงถึง 4-2 และไม่ผ่านรอบคัดเลือกอยู่เลย แต่ครั้งนี้เจอกัน 2 หนในรอบควอลิฟาย และแบ่งกลุ่ม สามารถยื้อผลเสมอได้ทั้งคู่
แม้รูปเกมจะไม่ได้เหนือกว่า โดนคู่แข่งครองบอลบดหนักทั้งสองนัด ไม่มีจังหวะต่อโชว์เหนือทำชิ่งงามๆให้เห็นบ่อยนัก แต่ก็ยังพยายามฉกฉวยโอกาสจนกลายเป็นประตูได้ และยังคงลงเล่นด้วยสไตล์วิ่งสู้ฟัด บู๊ได้ใจคนดูตามคอนเซ็ปต์ของ “ซิโก้” แม้จะต้องปะทะกับคู่แข่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่า ดังนั้นการมี 2 แต้มเท่ากันกับ ซาอุฯ และ เกาหลีเหนือ โดยแพ้เพียงประตูได้ในมินิลีกจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย
ส่วนเกมที่โดนทัพ “ซามูไร” ถล่มเละ 0-4 นั้นต้องยอมรับสภาพว่าสู้ไม่ได้จริงๆ เป็นรองทุกด้านตั้งแต่พื้นฐานเบสิคการเล่น ความเข้าใจเกม สมรรถภาพร่างกายนักเตะ ตลอดจนแผนและแทคติกการเล่น เมื่อเปิดเกมสู้ด้วยสไตล์คล้ายกันผลจึงออกมาอย่างที่เห็น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก เพราะนี่คือทีมที่มีรากฐานแข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย มีลีกอาชีพมาแล้วถึง 24 ปี ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วจากการกำชัย 3 นัดรวดในครั้งนี้ ถือเป็นกำแพงที่สูงขึ้นไปอีกขั้น การปราชัยต่อทีมระดับนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกจริตแต่อย่างใด
นอกจากนี้ในทัวร์นาเมนท์แฟนบอลยังได้เห็นผู้เล่นหลายคนที่โชว์ฟอร์มเตะตาแม้จะเป็นเพียงตัวสำรองในสีเสื้อสโมสร เช่น เจนรบ สำเภาดี ที่สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับ “อินทรีมรกต” ในนัดแรก, สมพร ยศ นายด่านมือ 2 ของบีอีซี เทโรศาสน ที่ป้องกันจุดโทษและโชว์ซูเปอร์เซฟอุตลุด หรือ “เจ้ายิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ดาวรุ่งวัย 18 ปี ที่ได้โอกาสลงสัมผัสเกมในระดับที่เกินอายุของตัวเอง
สิ่งสำคัญที่สุดคือนักเตะทุกคนได้ประสบการณ์กลับบ้านได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดของทวีปในระดับนี้ ได้มองเห็นว่ามีสิ่งใดที่ต้องกลับไปแก้ไข มีอีกหลายสิ่งที่ต้องนำไปปรับปรุงเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งเรื่องสมาธิ ความละเอียดในการเล่น ตลอดจนการยืนระยะ ฟุตบอลระดับนี้จู่ๆจะทะลุกลางปล้องสร้างเซอร์ไพรส์ได้ทันทีทันใดคงทำไม่ได้ ดังนั้นตัวแฟนบอลเองก็อย่างเพิ่งตั้งความหวังไว้สูง คอยเป็นกำลังใจเชียร์ให้ได้มาเตะรายการระดับนี้บ่อยๆในทุกๆรุ่น เมื่อได้เจอทีมระดับท็อปของทวีปบ่อยๆ มาตรฐานของทีมก็จะพัฒนาขึ้นเอง