ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - ในที่สุดลีกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล (NFL) ก็ประกาศแล้วว่าการแข่งขัน ซูเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 50 ณ สนาม ลีวายส์ สเตเดียม ปี 2016 โคลด์เพลย์ ยอดวงบริทร็อคจากอังกฤษ จะได้ขึ้นแสดงโชว์ช่วงพักครึ่งเวลาการแข่งขัน แน่นอนว่าสร้างความยินดีปรีดาให้กับสมาชิกวงทั้ง 4 ไม่น้อย เพราะการได้ขึ้นเวทีแสดงโชว์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ถือเป็นความใฝ่ฝันของศิลปินที่หวังจะได้วาดลวดลายต่อหน้าผู้ชมสักครั้ง เพราะหมายถึงชื่อเสียงเงินทองที่จะหลั่งไหลเข้ามาแม้ไม่ได้ค่าจ้างขึ้นโชว์ก็ตาม
“ฟอร์บส” นิตยสารธุรกิจชื่อดังของอเมริกา เผยรายงานว่าการแข่งขัน NFL รอบชิงชนะเลิศในยุคหลัง นอกเหนือจากการชิงชัยอันดุเดือดระหว่างสองทีมตัวแทนฝั่งตะวันออกและตะวันตกเพื่อถ้วย วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี การแสดงโชว์ช่วงพักครึ่งเวลา ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายตั๋วให้เดินหน้าจนหมดเกลี้ยง โดยปีที่แล้ว เคที เพอร์รี ศิลปินสาวชื่อดัง ช่วยดึงดูดแฟนคลับของเธอให้มาซื้อตั๋วชมและ PPV จนโดนเขียนแซวว่าคนดูที่ ฟินิกซ์ สเตเดียม ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเสียอีก
การแสดง ฮาล์ฟไทม์ โชว์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของลีกคนชนคนมาช้านาน โดยช่วงแรกยุค 60 ส่วนมากจะเป็นการนำวงดุริยางค์ของมหาวิทยาลัยต่างๆมาแสดงโชว์เพลงมาร์ชปลุกใจให้กับผู้เข้าชิงทั้งสองทีม แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อลีกบอร์ดบริหารประจำลีกเปลี่ยนไอเดียนำศิลปินชื่อดังมาโชว์ โดยเป็นวงบอยแบนด์ นิว คิดส์ ออน เดอะ บล็อค มาเปิดซิง ฮาล์ฟ ไทม์ โชว์ ปี 1991 แล้วได้เสียงตอบรับจากผู้ชมล้นหลาม ทำให้ลีกยึดประเพณีนำศิลปินดังมาขึ้นโชว์ด้วยทุกๆปี
มีการเปิดเผยว่าช่วงแรก บอร์ดบริหารลีกบางส่วนไม่ค่อยเห็นด้วยกับไอเดียที่ว่า เพราะเกรงว่าโชว์ของศิลปินนั้นจะกลายเป็นตัวขโมยซีนทำให้คนดูไม่สนใจการแข่งขัน แถมสิ้นเปลืองงบต้องมาจัดระบบแสงสีเสียงสุดอลังการให้กับนักร้องที่มาโชว์ แต่เมื่อ ไมเคิล แจ๊คสัน ราชาเพลงป๊อปของโลก โผล่มาเขย่าสังเวียน โรส โบว์ล ปี 1993 พร้อมเพลงฮิตมากมายที่ชวนคนดูทั้งสนามออกสเต็บโชว์ลีลาจนถูกยกให้เป็นหนึ่งในโชว์ที่ดีที่สุดของประวัติศาสตร์ ก็ทำให้ความสงสัยทั้งหมดมลายหายไป
การชิงแชมป์ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา มีศิลปินมากมายตบเท้าขึ้นแสดงช่วง ฮาล์ฟไทม์ โชว์ ไล่ตั้งแต่ระดับตำนานอย่าง “เดอะ บอส” บรูซ สปริงสทีน, เซอร์ พอล แม็คคาร์ธนีย์, แอโรว์สมิธ, ทินา เทอร์เนอร์, ฟิล คอลลินส์, ยูทู ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง เคที เพอร์รี, บรูโน มาร์ส, เดอะ แบล็ค อาย พีส์ ฯลฯ ศิลปินทุกคนล้วนมีเป้าหมายอยู่ที่การขึ้นโชว์ช่วงเวลานี้เพราะนี่เวทีที่หลายคนใฝ่ฝัน และหากได้รับเลือกขึ้นโชว์ก็เท่ากับว่าคุณเป็นศิลปินครองใจ “มหาชน” อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ มันอาจเป็นคืนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา ศิลปินที่ดังอยู่แล้วก็จะดังขึ้นไปอีก ยกตัวอย่าง บรูโน มาร์ส แม้ถูกค่อนขอดว่าชื่อชั้นยังไม่ถึง แต่เมื่อปรากฏตัวกลางสนาม เม็ตไลฟ์ สเตเดียม ปี 2014 โชว์ของเขากลับสะกดคนดูกว่า 8 หมื่น จนวันต่อมายอดขายอัลบั้มต่างๆของเจ้าตัวพุ่งขึ้นกว่าเดิมทั้งแบบซีดีและดาวน์โหลด ไต่ขึ้นอันดับ 3 บนชาร์ตบิลบอร์ด ขณะที่ บียอนเซ ที่ขึ้นโชว์ปี 2013 ทุกอัลบั้มที่วางแผงรวมถึงงานชุดเก่ากับวง เดสทินี ไชลด์ ก็มียอดขายพุ่งอีก 44 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม การแสดงทั้งหมดทุกปีที่ผ่านมา ศิลปินทุกรายจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่เหรียญเดียว ทาง NFL จะช่วยดูแลเรื่องโปรดักชั่น, เครื่องเสียง, แสงสีต่างๆแทน (แถมช่วงหลังมีการคุยกันด้วยว่าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบให้ศิลปินจ่ายเงินขอขึ้นโชว์อีกต่างหาก) ทว่าศิลปินทุกคนล้วนแต่เต็มใจและยินดียิ่งที่จะมาร่วมแสดงหากได้รับคำเชิญ เพราะมันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม คุ้มกว่างานคอนเสิร์ตทั่วไปด้วย เพราะได้โปรโมตงานตัวเองไม่พอ ชื่อเสียงก็จะดังเป็นทวีคูณถ้าโชว์ในวันนั้นเป็นที่จดจำของคนดูทั่วโลก แต่กลับกันหากโชว์ออกมาแย่ นอกจากความนิยมลดลงยังกลายเป็นตราบาปติดตัวพวกเขาอีกต่างหาก
สำหรับ โคลด์เพลย์ แน่นอนว่าชื่อชั้นถึงอยู่แล้ว อยู่ในวงการมานานกว่า 10 ปี และเป็นวงสัญชาติอังกฤษเพียงไม่กี่วงที่สามารถบุกมาเจาะตลาดเพลงอเมริกาได้ ทำให้ ฟอร์บส คาดหวังว่าพวกเขาจะเนรมิตโชว์ออกมาได้ประทับใจคนดู ขณะเดียวกันหากโชว์ออกมาดี อัลบั้มใหม่ล่าสุดที่เพิ่งคลอดออกมาอย่าง A Head Full of Dreams ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รวมถึงโอกาสจะได้เพิ่มตารางโปรแกรมทัวร์รอบโลกให้ตัวเองอีกต่างหาก ดังนั้นมาดูว่าปีหน้า คริส มาร์ติน และผองเพื่อนจะทำให้แฟนเพลงและคนที่ไม่รู้จักพวกเขามาก่อนจดจำได้มากแค่ไหน
เรื่องโดย : วัลลภ สวัสดี