เอเยนซี - เจ้าของตำแหน่งซัดประตูสูงสุดให้ทีมชาติอังกฤษ สำหรับ เวย์น รูนีย์ ที่เกิดขึ้นเกม ยูโร 2016 รอบคัดเลือก กลุ่ม อี เปิด เวมบลีย์ ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 2-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา เหนืออื่นใดสิ่งที่สำคัญกว่าหาใช่สถิติ แต่เป็นคุณค่าและการยอมรับมากกว่า
เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาเกม ยูโร 2016 รอบคัดเลือก กลุ่ม อี อังกฤษ บุกถล่ม ซาน มาริโน 6-0 หนึ่งในนั้นมีชื่อ รูนีย์ ขึ้นสกอร์บอร์ด ทำให้กองหน้าค่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงสูงสุดให้ “สิงโตคำราม” 49 ประตูจาก 106 เท่า เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ตำนานตัวรุกที่ทำเอาไว้ระหว่างปี 1958-1970
กระนั้นก็ตามแม้ รูนีย์ จะขึ้นแท่นยิงสูงสุดให้อังกฤษ แต่เหมือนเป็นความภาคภูมิใจเกียรติยศส่วนตัวมากกว่า เพราะไร้ความสำเร็จระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับแบบ เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ทำเอาไว้ด้วยการพาทีมเป็นแชมป์โลกเมื่อปี 1966 รวมถึง แกรี ลินิเกอร์ ศูนย์หน้าที่ซัดไป 6 ประตูคว้ารองเท้าทองคำ เวิลด์ คัพ 1986
นอกจากนี้ รูนีย์ ยังไม่มีประตูที่ตราตรึงใจแฟนลูกหนัง ลูก 49 ที่ยิงได้มาจากจุดโทษเกม ซาน มาริโอ ไม่เหมือน ไมเคิล โอเวน อดีตหอก ลิเวอร์พูล ที่แจ้งเกิดด้วยการโซโล่ครึ่งสนามฝ่าผู้เล่น อาร์เจนตินา เข้าไปซัดเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เสมอ 2-2 ก่อนที่จะแพ้จุดโทษ 3-4 ในศึก เวิลด์ คัพ 1998 รวมถึง เดวิด เบ็คแฮม เจ้าพ่อลูกนิ่งที่ซัดเกมคัดฟุตบอลโลก 2002 ตอนนั้นเล่นที่ เวมบลีย์ ตามหลัง กรีซ 1-2 ต้องการ 1 แต้มเป็นอย่างน้อยเพื่อไปเล่นรอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ซึ่งเครื่องหมายการค้าก็ทำงานพาทีมตีเสมอได้สำเร็จนาที 90+3
นอกจากนี้ รูนีย์ ไม่อาจจะรีดฟอร์มเก่งให้กับต้นสังกัด แมนฯยู ในฐานะกัปตันทีม รวมถึงคุ้มค่านักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดบนเวที พรีเมียร์ ลีก คือ 250,000 ปอนด์ (ประมาณ 13.7 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ โดยฤดูกาลที่แล้วยิงรวมทุกรายการไปแค่ 14 ลูกเท่านั้น
ซึ่งก็มีปัจจัยมากมายนำโดย หลุยส์ ฟาน กัล นายใหญ่ชาวดัตช์ ที่มอบหมายบทบาทกองหน้าตัวเป้าให้กับ รูนีย์ ส่งผลให้ศักยภาพด้อยลงไป แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกจริงๆ แล้วคู่ควรกับตำแหน่งนี้ แต่ด้วยสไตล์ที่ไม่ใช่ยืนค้ำแบบเปรี้ยงเดี๋ยวหายในเขตโทษคล้าย รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เคยสวมเสื้อ “ผีแดง” โดยอดีตเด็กสร้าง เอฟเวอร์ตัน คือนักเตะสไตล์เบอร์ 10 มากกว่าต้องมีส่วนร่วมกับเกมถึง 50 เปอร์เซนต์ไม่ว่าจะเป็นลงมาต่ำล้วงบอลหรือพักบอลและสอดขึ้นไปจากแถวสอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายากรับบอลจากปีกส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย
รูนีย์ เป็นนักเตะที่ต้องการแรงกระตุ้นและใช้จิตวิทยาเข้าช่วย โดยเพิ่งทำแฮตทริกเกม ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ นัด 2 บุกถล่ม คลับ บรูจ ถึงเบลเยียม 4-0 เข้ารอบแบ่งกลุ่มด้วยประตูรวม 7-1 แต่จากนั้นสาวก “เรด เดวิลส์” หวังว่าจะเล่นได้ดีต่อเนื่องในเกม พรีเมียร์ ลีก ทว่า แมนฯยู ดันแพ้ สวอนซี ซิตี 1-2 ซึ่งเกมดังกล่าวมีหลายครั้งที่ช้าจนถูกคู่ต่อสู้เข้าสกัด ไม่มั่นใจและเด็ดขาดเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่ รูนีย์ ต้องการจากกุนซืออย่าง ฟาน กัล ซึ่งไม่มีเหมือนกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยนายใหญ่เลือดดัตช์เน้นความเด็ดขาดไม่ประนีประนอม อาทิ กรณีของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี หอกที่ถูกโละไปอยู่กับ เฟเนร์บาห์เช ล่าสุดคือ บิคตอร์ บัลเดส และ ดาบิด เด เคอา 2 มือกาว ก็โดนกระทำเหมือนกัน ยังไม่นับแข้งในอดีตกับทีมอื่นอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และ บาร์เซโลนา
ฟาน กัล ถูกตราหน้าว่าเป็นกุนซือที่ไร้ “พื้นฐานความเป็นมนุษย์” เพราะบางครั้งต้องเอาใจนักเตะมาใส่ใจตนบ้าง ไม่เหมือน เฟอร์กี สมัยคุมทัพ แมนฯยู แม้ว่าจะเล่นบทโหดไดร์เป่าผมน้ำลายกระเด็นใส่ยามตะคอกหน้า แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องซื้อใจก็สามารถทำได้
เหนืออื่นใด รูนีย์ ยังมีโอกาสพิสูจน์ให้เห็นว่าที่กล่าวมาทั้งหมดคิดผิด ด้วยการพา อังกฤษ ทำผลงานให้ดีที่สุดในศึก ยูโร 2016 ที่ ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน ถึง 10 กรกฎาคมปีหน้า บางทีอาจจะต้องถึงขั้นเป็นแชมป์ด้วยซ้ำ ซึ่งถือว่าอาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วก็ว่าได้ด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไป 29 ปี
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *