ASTV ผู้จัดการ – ซีทีเอช (CTH) เจ้าของสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ยอมรับว่า 2 ปีที่ผ่านมา ขาดทุนมากพอสมควร ดังนั้น จึงต้องดิ้นรนในปีสุดท้าย ด้วยวิธีการเพิ่มราคาแพ็กเกจในการรับชมให้สูงขึ้นกว่าเดิม โดยมีเป้า 6,000 ล้านบาท เป็นตัวชี้วัด พร้อมแย้มแผนสำรองหากชวดคว้าสิทธิ์ในการประมูลครั้งต่อไป
“ซีทีเอช” สร้างความฮือฮาด้วยการคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ประจำประเทศไทย 3 ฤดูกาล เมื่อ 2 ปีก่อน ภายใต้งบประมาณที่คาดการณ์ว่าสูงถึง 9,000 ล้านบาท ซึ่งเวลานี้ ระยะสัญญาจะเหลืออีกเพียง 1 ปี คือ ซีซัน 2015/2016 เป็นปีสุดท้าย ดังนั้น จึงเป็นที่สนใจของประชาชนว่าธุรกิจชิ้นนี้ประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน
ด้าน เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ออกตัวว่าขาดทุนแน่นอน “ต้องยอมรับตามตรงว่าเราขาดทุนแน่นอน เพราะราคาที่เราได้มานั้นสูงมาก รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตกปีละ 4,000 ล้านบาท แต่จะมากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับปีสุดท้าย โดยปีแรกเราติดลบมาก ขณะที่ปีที่สองเริ่มที่จะมาถึงครึ่งทาง ดังนั้น ปีที่สามจึงจะเป็นตัวชี้วัด เราตั้งเป้าว่าปีนี้ต้องทำเงินให้ได้ราว 6,000 ล้านบาท จากสปอนเซอร์ การขายแพ็คเกจ รวมถึงค่าบริการรายเดือน แต่ก็เชื่อว่าแม้จะได้ตามนั้นแต่ก็ยังคงขาดทุนอยู่”
เมื่อต้องดิ้นรนในช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลือ “ซีทีเอช” จึงเลือกวิธีการเพิ่มราคาแพ็คเกจขึ้นจากเดิมอีกแพ็กเกจละ 200 บาท โดย เชิดศักดิ์ กล่าวว่า “ที่ผ่านมา เรามีกาดทดลองใช้มาหลายแพ็กเกจ โดยสองปีแรกเราใช้แพ็กเกจที่ราคาถูกเพื่อเพิ่มฐานคนดูให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรารู้แล้วว่ามีลูกค้าที่พร้อมจะจ่ายแพงเพื่อรับชมแม้จะได้ฐานคนดูไม่กว้างเท่าเดิมก็ตาม ปีนี้เราจึงปรับราคาแพ็กเกจให้สูงขึ้นอีก 200 บาท โดยมีแพ็กเกจต่ำสุดที่รับชมการถ่ายทอดสดได้ครบทุกแมตช์ จากเดิม 399 บาท เป็น 599 บาทต่อเดือนในระบบเอสดี และ 699 บาท ในระบบเอชดี ขณะที่ผู้ติดกล่อง Z Pay TV (ราคา 1,690 บาท) สามารถซื้อแพ็กเกจได้ในราคา 349 บาทต่อเดือน ส่วนกล่องบอลอังกฤษแบบเหมาจ่าย ราคา 5,995 บาท (ระยะเวลา12 เดือน) นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มในส่วนของร้านอาหารเป็น 18,000 บาทต่อปีด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แลกมาก็คือ ฐานคนดูและพันธมิตรที่ตบเท้าเข้ามา “แม้จะขาดทุนแต่เราก็ได้ผลตอบแทนในเรื่องฐานคนดู จากปีแรกมีเพียง 3 แสนคน ปีที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านคน และปีสุดท้ายคาดว่าน่าจะได้เพิ่มอีก 1.7 ล้านคน รวมเป็น 3 ล้านคน โดยมี 55 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดที่เจาะจงดู พรีเมียร์ ลีก ขณะเดียวกัน เรายังมีพันธมิตรเข้ามาร่วมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหลัก 4 ราย คือ เอไอเอส สิงห์ โตโยต้า และฮอนด้า รวมถึงพันธมิตรรายย่อยอีกนับ 10 ราย เช่น พีพีทีวี ที่จะถ่ายทอดสดผ่านนฟรีทีวี 26 นัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานคนดูให้มากขึ้นอีก” เชิดศักดิ์ ให้ข้อมูล
ดังนั้น จึงเป็นคำถามว่าเมื่อการทำธุรกิจที่ผ่านมาไม่คุ้มค่าในเรื่องเม็ดเงินแล้ว “ซีทีเอช” จะเดินหน้าสู้การประมูลครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นช่วงเดือนตุลาคมนี้หรือไม่ ซึ่งเชิดศักดิ์ยืนยันที่จะประมูลต่อ พร้อมแย้มว่าได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้วหากพลาดเป้า “ถ้าปีสุดท้ายเราทำได้ตามเป้าแม้จะขาดทุนแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ ที่สำคัญ เรายังมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน และมีธนาคารที่ให้ความเชื่อใจรองรับ นอกจากนี้ เรารู้แล้วว่าหากครั้งหน้าประมูลได้ จะมีใครมาร่วมเป็นพันธมิตรกับเราบ้าง”
“ส่วนคู่แข่งนั้นในประเทศคงจะมีไม่กี่เจ้า แต่ที่น่ากลัวก็คือกลุ่มทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาประมูลแล้วขายสิทธิ์ต่อให้บริษัทไทย เพราะกลุ่มเหล่านี้มีกำลังเงินที่สูง จึงไม่มีใครการันตีได้ว่าใครจะเป็นผู้ได้ไป แต่ทั้งนี้หากเราไม่ได้ เราก็มีแผนสำรองไว้แล้วเช่นกัน เรายังมีฐานคนดูและพันธมิตรอยู่ ตอนนี้จึงได้เริ่มเปิดคอนเทนต์ใหม่เข้ามาเสริมในตลาดอื่น ๆ แล้ว เช่น ช่องดรีมเวิร์กส ช่องฟ็อกซ์ มูฟวี หรือ เนชันแนล จีโอกราฟฟิค ที่เหมาะสำหรับคนทั่วไปทั้งเด็กและผู้หญิง เพราะบางประเทศก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีช่องกีฬาแต่ก็อยู่ได้” ผู้บริหารซีทีเอชเผย
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลที่มีผู้สนใจมากที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ ลีก ครั้งต่อไปจะอยู่ในเงื้อมมือใคร และเจ้าของปัจจุบันอย่าง “ซีทีเอช” จะทุ่มทุนป้องกันแชมป์เหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ หลังลิ้มรสประสบการณ์แล้วว่าไม่ง่ายเลยในการบริการธุรกิจชิ้นนี้
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *