xs
xsm
sm
md
lg

“มิ้นท์” สาวพิชิตเขา กีฬาระห่ำไร้ใจไร้ชัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ธรรมชาติได้รังสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นบนโลกใบนี้ก็เพื่อให้เราค้นหา ส่วนวิธีการนั้นก็ล้วนแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น “ปีนเขา” ซึ่งต้องยอมรับว่าเมืองไทยเรานั้นไม่เอื้ออำนวยนักด้วยปัจจัยต่างๆ อาทิ สภาพภูมิประเทศและอากาศ ทำให้ความนิยมไปอยู่แถบต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ จนถูกยกให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น “ไต่หน้าผา” และ “เดินป่า” เพื่อนำตนเองไปให้ถึงเป้าหมาย

ดังนั้น บ้านเราจึงหานักพิชิตเขาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง ทว่ามีอยู่คนหนึ่ง “มิ้นท์” มณฑล กสานติกุล ชื่อนี้หลายคนน่าจะรู้จักในบทบาทที่เธอให้คำนิยมตนเองว่าอาชีพคือ “นักท่องเที่ยวอิสระ” โดยบล็อกส่วนตัวใน “เฟซบุ๊ก” สื่อสังคมออนไลน์ที่ชื่อ “I Roam Alone” มีเข้ามากดถูกใจทะลุ 61,000 คนไปแล้ว นอกจากนี้ ยังเขียนหนังสือที่ชื่อว่า I ROAM ALONE : THAI - SIBERIA issue ซึ่งตีพิมพ์ไปแล้ว 2 ครั้ง, รวมถึงพิธีกรรายการ “หลงเทศกาลโลก”, ถูกเชิญไปเป็นวิทยากรเล่าประสบการณ์งานต่าง, ถ่ายโฆษณา ฯลฯ ทั้งหมดที่เอ่ยมาถือว่าแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจากนี้ยังมีโปรเจกต์ที่ต่อแถวรอปรากฏแก่สายตาอีกเพียบ ทั้งงานการกุศล, ทำงานกับผู้ลี้ภัยเพื่อให้มีพรบ.ซึ่งก็จะมีคลิปวิดีโอออกมาในไม่ช้านี้ รวมถึงโครงการอื่นของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สาววัย 27 ปีได้ถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องท่องเที่ยวไปพอสมควรแล้ว แต่นอกจากนี้เธอยังมีดีกรีเป็นนักเดินป่า ปีนเขาและไต่ผา ที่ความดันทุรังสูงเกินตัวจนบดบังความกลัว โดยเล่าให้ฟังว่า “สิ่งนี้ถือว่าเป็นกีฬาได้เหมือนกัน เพราะที่เมืองนอกค่อนข้างนิยม โดยเฉพาะอเมริกาหรือทางตอนล่างของอินเดีย ตอนนี้ของ มิ้นท์ อยู่ในขั้นเริ่มต้นเลยคือจะไปเดินเขาและขึ้นเขาต้องเรียนรู้ตั้งแต่การใช้เชือก การโรยตัว รู้จักการเกร็งหน้าท้อง เหมือนพื้นฐานสำหรับการปีนเขา เพราะเขาแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปรวมถึงสภาพอากาศ แต่ทุกอย่างก็ล้วนมาจากพื้นฐานเดียวกัน”

ส่วนเรื่องการปีนเขานั้นได้แรงบันดาลใจจากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เธอบอกว่าทำให้เปลี่ยนความคิดไปเลย “มิ้นท์ ว่ามันท้าทายนะ แต่เหนืออื่นใดจุดเริ่มต้นคือการท่องเที่ยว เพราะแต่ก่อนเป็นคนไม่ชอบเดินทาง ไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ชอบโดนแดด ไม่ชอบออกกำลังกาย จุดเปลี่ยนจริงๆ คือที่อเมริกาใต้กับอเมริกากลาง โดยเฉพาะอเมริกาใต้หลายๆ ที่มันสวยมาก ที่สำคัญมันไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยทางไหนเลยนอกจากการเดิน ตอนแรกมองดูแล้วเราก็ไม่น่าจะทำได้เลย ไม่ว่าจะเป็นถือของหนักเดินขึ้นเนี่ยนะจะบ้าหรอไปทรมานทำไมกัน”

ซึ่งก็เหลือเชื่อว่าเขาลูกแรกที่ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวไปถึงยอดได้นั้นเกิดจากความบังเอิญ “ตอนนั้นจำได้เลยว่าอยู่ที่ Stromboli ประเทศอิตาลี เดินขึ้นภูเขาไฟใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงไปแบบจับพลัดจับผลูตอนแรกคิดว่าแค่นั่งเรือล่อง แต่ที่ไหนได้เดินขึ้นไปถึงตอนเที่ยงคืนคือขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกว่าจะกลับลงมาก็เที่ยงคืนกว่าสไลด์ตัวลงมาจากเถ้าภูเขาไฟ สภาพตอนนั้นพังสุดๆ อุปกรณ์ก็ไม่พร้อมไฟฉายไม่มีเพราะคิดว่าไม่ต้องใช้เลยต้องไปยืมคนอื่น ใช้เวลาขึ้นราว 3 ชั่วโมงลงชั่วโมงครึ่ง แต่ความรู้สึกเหมือน สมรักษ์ คำสิงห์ คว้าเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่น โอลิมปิก เป็นความภูมิใจตอนนั้นโทร.ไปหาแม่เลยที่ไทยน่าจะตี 4 ตี 5 แต่คิดว่าไม่เอาอีกแล้ว มันเหนื่อยมาก”

ส่วนการขึ้นเขาแบบจริงๆ จังๆ พร้อมเตรียมตัวอย่างดิบดีเกิดขึ้นที่แดนละติน “ที่ที่เราอยากไปมากคือ Torres del Paine ที่ประเทศชิลีเป็นอุทยานแห่งชาติหนึ่งในที่ๆ สวยที่สุดในโลก ดังนั้น เลยตั้งใจฉันต้องซ้อมเพื่อจะไปที่นี่ เพราะเป็นการเดิน 5 วันต้องแบกของทุกอย่างเองหมดมีอาหารมีเตนท์เพื่อตั้งแคมป์ ก่อนหน้าไปช่วง 1 เดือนก็จะเดินป่าตลอดทั้งในประเทศชิลีและอาร์เจนตินาสลับกันไปประมาณ 4 ที่ ก็จะมีขึ้นภูเขาไฟอันนี้จะหนักสุดต้องเป็นรองเท้าแบบที่สามารถใส่ Crampons ตรงหัวมีเหล็กแหลมๆ เอาไว้ยึดเกาะ ต้องแบกหมวกกันน็อก ชุดหมี กล้อง น้ำ 2 ขวด จำได้แม่นเลยตอนนั้นน้ำหนักที่หลัง 10 กิโลกรัมเราไม่เคยซ้อมไม่อะไรมาเลยประมาณก่อนวันเกิดพอดีราวปลายปี 2556 จำความรู้สึกได้เลยคิดว่ามองขึ้นไปทำไมไม่เห็นยอดเสียทีแถมต้องเดินซิกแซกตามหิมะ ใจเราอยากจะลงแล้ว สุดท้ายใกล้ถึงยอดเราไม่ไหวแล้วอีกก้าวเดียวก็ไม่ไหวปวดไปทั้งไหล่ นึกสภาพคนไม่เคยเดินมาก่อน แล้วก็มีคนเดินผ่านเราแล้วบอกว่าเธอทำได้ไปต่อ เราต้องการแรงผลักเท่านี้แหละ พอถึงแล้วร้องไห้เลย ส่วนตอนกลับลงมาก็สาหัสพอใจเหนื่อยขนาดที่ว่าจะนอนก็นอนไม่หลับอธิบายไม่ถูกจริงๆ สุดท้ายก็ผ่านไปได้ ซึ่งเราก็ภูมิใจในตัวเองมาก ทำได้ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ชอบนะ แต่เข้าใจว่าจากนี้ทำอะไรบ้างต้องซ้อมเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย”

ไม่ว่าจะผ่านเขามากี่ลูกมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน แต่ก็มีสิ่งที่ตามหลอกหลอนจิตใจ ซึ่ง “มิ้นท์” ก็เจอมาแล้วและต้องเอาชนะให้ได้ “ตอนนั้นเป็นทริปที่ 2 ที่ชิลีเหมือนกัน ไม่ถึงกับหลอนมันก็แค่เหนื่อยกาย แม้กระทั่งตอนยืนอยู่ตีนเขากำลังจะเริ่มเราก็ยังถอนหายใจ แต่พอเริ่มเดินแล้วก็จะสนุกเหมือนแข่งกับตัวเองเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เห็นทิวทัศน์ ใครก็เป็นอาการแบบนี้มืออาชีพก็เป็น มิ้นท์ เคยถามคุณคูซีเชาเขาเป็นคนสิงคโปร์เป็นนักปีนเขานักผจญภัยตัวจริง เขาบอกเลยว่าทุกครั้งก่อนเริ่มยังถามตัวเองว่ามาทำอะไรที่นี่ แต่พอขึ้นไปแล้วก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งมันคือความภูมิใจกับการเอาชนะตัวเอง ส่วนตัวว่ากีฬาปีนเขาหลายครั้งก็ทำให้เราเห็นแก่ตัว เพราะการถึงยอดเขาคือชัยชนะของเราคนเดียวที่ไม่เกี่ยวกับใครเลยจริงๆ พอเป็นแบบนี้อาจจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่ว่าจะมีผลกับชีวิตประจำหรือไม่ เนื่องจากสิ่งนี้เหมือนเป็นเส้นบางๆ”

ซึ่งสิ่งที่ได้จากการปีนเขานั้นได้สอนอะไรหลายอย่าง “สำหรับ มิ้นท์ การขึ้นเขาเหมือนการเข้าวัด หลายๆ คนเข้าวัดเพื่อนั่งสมาธิสำรวจตัวเอง เพราะเราได้อยู่กับตัวเองคุยกับตัวเองทำให้เราสงบลงและเวลาเหนื่อยมากๆ ก็จะไม่คิดอะไรเลย บทสนทนาแรกๆ คือเรามาทำอะไรที่นี่เนี่ย จากนั้นก็จะคุยกันเรื่องอดีตบ้างอนาคตบ้างภาพจะเกิดขึ้น เพราะการที่เรามีเวลาอยู่กับตัวเอง 6 - 7 ชั่วโมงได้คิดก็เหมือนการได้นั่งสมาธิอย่างหนึ่งเหมือนให้ความคิดเราได้ตกตะกอน จากนั้นเหนืออื่นใดเราก็ต้องเอาชนะตัวเอง แม้ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ตามก็ยังเดินต่อให้ถึงจุดหมายมันก็เหมือนได้ 2 เด้งสำหรับตัว มิ้นท์ เองนะ”

แน่นอนว่าขีดจำกัดของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แต่ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงสิ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้สำหรับกีฬาชนิดนี้ก็คือ “หัวใจ” เท่านั้น “มิ้นท์ คิดว่าไม่มีอะไรเกินขีดจำกัดของเรา เพราะจริงๆ มนุษย์ทุกคนก็สามารถผลักดันตนเองไปถึงจุดไหนก็ได้ในโลกใบนี้ส่วนตัวเชื่ออย่างนั้นนะ เช่นหากเราพิการแขนหรือขาก็แค่อาจจะลำบากกว่าคนอื่นหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทุกอย่างจึงอยู่ที่ว่าตั้งใจและต้องการมันแค่ไหน โดยเฉพาะการขึ้นเขาร่างกายน่าจะประมาณ 30 - 40 เปอร์เซ็นต์ แต่เกินจากนั้นคือใจแล้ว เป็นความอึดแล้วว่าเราจะยอมแพ้หรือเปล่า เฮ้ยมันหนาวไป มันร้อนไป มันเหนื่อย มันหายใจไม่ออก เราจะยอมให้สิ่งพวกนี้มาหยุดเราหรือเปล่า”

เมื่อถูกถามถึงเขาที่ประทับใจที่สุด มิ้นท์ ย้อนให้ฟังว่า “Huaraz ประเทศเปรู คือการเดินที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดที่หนึ่ง เพราะก่อนหน้านั้นเหมือนลากตัวเองขึ้นไป แต่ที่นี่อีกความรู้สึกหนึ่งไปด้วยความมั่นใจอยากเดินขึ้นถึงคนแรกสบายๆ ตอนนั้นก็เดินมาเป็น 10 เขาแล้ว ใครก็ตามที่เดินเขาแรกๆ ก็อยากเป็นที่หนึ่ง เป็นที่แรกที่เราขึ้นถึงคนแรกเราก็ภูมิใจ จริงๆ แล้วไม่สำคัญ ไม่ดีด้วยที่จะเร่งตัวเองให้ถึงคนแรก แล้วเป็นที่ที่สวยมากมองไปแล้วมีแต่ภูเขาทะเลสาป มองไปอีกฝั่งก็เป็นแอ่งน้ำรูปหัวใจ เดินลงมาเหมือนทิวทัศน์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนที่ Machupicchu เปรูเหมือนกันเห็นซากปรักหักพัง มองลงมาไม่เห็นอะไรเลยก็มี หรือขึ้นไปเห็นแต่เมฆขาวไปหมดเลย แต่ก็ไม่เป็นไรสิ่งเหล่านี้เราควบคุมอะไรไม่ได้ น่าจะเป็นที่กัวเตมาลาไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ สีขาวโพลน”

ซึ่งการเดินทางไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเจอประสบการณ์แย่ๆ ชนิดที่ความคิดวูบหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวเลยว่าอาจต้องตาย “ที่อาร์เจนตินาหลงป่าสุดท้ายก็มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่วยเราออกไปได้ ตอนนั้นก็คิดนะว่าเราอาจจะต้องตายต้องกินแขนตัวเองน้ำก็ไม่มี อยู่กับคนเกาหลีอีกคนที่ไม่เคยเดินป่ามาก่อนคนนี้หนักกว่า มิ้นท์ อีกอยู่กัน 2 คน สวนอีกที่คือ Machupicchu เห็นคนตายหัวใจวาย เนื้อหาจะอยู่ในหนังสือเล่มถัดไปออกเดือนตุลาคมอยากรู้ต้องไปซื้ออ่าน ที่นี่เป็นยอดที่เกิดเรื่องราวมากมายนั่งรถไฟออกมาร้องไห้เหมือนเป็นบ้าอยู่ 2 วันอยู่คนเดียวความรู้สึกเลยยิ่งแย่โทร.หาแม่เลย”

การปีนเขาแม้ว่าบางครั้งจะชนะใจตัวเองได้ แต่ก็นำมาสู่อาการบาดเจ็บของร่างกายโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่ง มิ้นท์ ก็ประสบมาที่เนปาลแบกเป้หนัก 10 กิโลกรัมจนหมอนรองกระดูกอักเสบปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทต้องงดซ้อม งดออกกำลังทุกอย่าง ห้ามถือของหนัก ตอนนี้อยู่ระหว่างรักษาตัว ดังนั้น เป้าหมายจึงต้องเลื่อนออกไป ถ้าพร้อมก่อนสิ้นปี 2015 เธอบอกว่าก็น่าจะเริ่มเป็นที่ประเทศอาร์เจนตินายอด Aconcagua ตอนเดือนมกราคม

ทว่า ก็ได้แง่คิดสำคัญว่า “ตอนนี้ประตูหนึ่งปิดแล้ว แม้ไม่ปิดสนิท แต่ก็ไม่เปิดกว้างเหมือนเดิม จริงๆ เป้าหมาย มิ้นท์ คือทำ เซเวน ซัมมิทส์ คือการไปยืนบน 7 ยอดเขาสุงที่สุดของทวีปทั้ง 7 ตอนแรกตั้งใจจะเริ่มปีนี้ ทว่าคงไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไรปีหน้าก็ได้ ดังนั้น เมื่อโอกาสหนึ่งมันปิดประตูอื่นก็จะเปิด ชีวิตก็แบบนี้เมื่อเราถูกปฏิเสธจากอย่างหนึ่งประตูที่ดีกว่าหรือสนุกกว่าอาจจะเปิดก็ได้เรามองว่าสิ่งนี้คือการผจญภัยรอให้ประตูเปิดและมองว่าเรามีช่องทางไหนให้ไปได้บ้าง”

หลายคนน่าจะยังจำเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 8,600 คน นอกจากนี้ ยังไร้ที่อยู่อีกมากมาย โดยเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีการรำลึกครบรอบ 1 เดือน ซึ่ง “มิ้นท์” ก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ที่ Dingboche ได้สัมผัสประสบการณ์ยืนบนจุดที่มีคนตายมาแล้ว ข้าวของเครื่องใช้บ้านเรือนกระจัดกระจาย เธอบอบช้ำทั้งร่างกายคือหลัง รวมถึงจิตใจ แต่สิ่งนี้ก็ได้จุดประกายช่วยเป็นสื่อกลางให้คนไทยร่วมบริจาคส่งเงินไปช่วย

ทั้งหมดนี้ได้บอกคุณว่าเมื่อก้าวถึงยอดเขาที่ปรารถนาแล้ว สิ่งตอบแทนที่ได้รับกลับมาไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจหรือทิวทัศน์ที่น้อยคนนักจะได้สัมผัสด้วย 2 ตา เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องบ่มเพาะขึ้นจากการฝึกซ้อม วางแผน เตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจ พยายามแล้วพยายามอีกไม่รู้กี่ครั้งครา เรียกได้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ยากที่สำเร็จ เหมือนกับ “มิ้นท์” มณฑล กสานติกุล ที่กำลังพยายามไปให้ถึงเป้าหมายที่ตนเองต้องการ แต่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เธอทำสำเร็จไปแล้วโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็คือพิชิตยอดเขาในหัวใจทุกคนนั่นเอง





ติดตามการท่องโลกของ "มิ้นท์" มณฑล กสานติกุล ได้ที่
https://www.facebook.com/IRoamAlone?fref=ts
http://www.iroamalone.com/
https://instagram.com/iroamalone

เรื่อง สรเดช เพชรแสงใสกุล

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***


พูดคุยเหมือนนำตัวเองย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์
ที่กัวเตมาลา
ทิวทัศน์ที่เห็นได้ยากยิ่งในเปรู
สภาพที่ต้องบุกป่าฝ่าดง
ขึ้นเขาช่วยให้มีสมาธิคิดอะไรได้หลายอย่าง
อุปกรณ์พร้อม
ไต่ผาน้ำแข็ง
กำลังโหลดความคิดเห็น