คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
หากว่าจำไม่ผิดคิดว่าคงไม่หนีไปจากปี พ.ศ. 2553 มีการปลุกกระแสให้ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพการจัดแข่งขันรถยนต์สูตร 1 หรือ “เอฟ-1” เพื่อหารายได้เข้าประเทศ ช่วงเวลานั้นมีกระแสแรงมาก ถึงกับมีการดึงนักขับรถสูตร 1 มาขับโชว์กันที่ถนนราชดำเนิน สร้างความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็มีการโหมกระแสอย่างต่อเนื่องด้วยการจัดการแข่งขัน “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์ ไทยแลนด์” ในปี พ.ศ. 2555 ถือว่าเป็นสนามที่ 2 สำหรับการแข่งนอกยุโรปกันเลย โดยครั้งแรกแข่งกันที่สนามรังนก กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พ.ศ. 2552
การมาของรายการ “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์” ครั้งแรกนั้นคึกคักมาก มีนักแข่งดังอย่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์, เซบาสเตียน เวทเทล นำทีมแข่งขันกันที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จำได้ว่างานนี้ผู้สนับสนุนสินค้ารายต่างๆ ชื่นชอบระดมทุนให้การสนับสนุนกันเป็นจำนวนมาก และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พร้อมกับเป็นการดันกระแสจัดการแข่งขันรถสูตร 1 ในบ้านเราให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการตั้งทีมงานหาสถานที่จัดการแข่งขัน มีหลายจุดที่เห็นว่าน่าจัด เริ่มกันที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กะว่าจะให้การแข่งขันกันแบบไนต์เรซ ยามค่ำคืนชมแสงสีกลางพระนคร ขณะนักขับเหยียบคันเร่งจมพื้นรถ แต่สุดท้ายฝันนั้นก็พังพาบ เพราะโดนกระแสต่อต้านจากชุมชนต่างๆ โดยรอบ ไม่ว่าจะการปิดถนนสายหลักของนครหลวง รวมถึงมลภาวะทางเสียง ก่อนจะมีการส่งทีมงานไปหาสถานที่ใหม่ คราวนี้มองไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต แต่ดูจากสภาพภูมิศาสตร์ขึ้นลงสูงต่ำของพื้นที่มีเนินเขาน้อยใหญ่คงไม่เหมาะแข่งขันรถแข่งศักยภาพสูง แม้จะสะดวกด้วยมีสนามบินนานาชาติรองรับการขนส่งขนาดใหญ่ได้ตาม
ทีมงานครั้งนั้นยังคงไม่ท้อหาสถานที่กันจนไปเล็งพื้นที่ “หัวหิน - ชะอำ - ชลบุรี” สวยงามด้วยถนนเลียบชายหาด พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกไม่น้อยไปกว่าไข่มุกอันดามันโดยเฉพาะเรื่องโรงแรมที่พัก แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดก็ยังอาจดีไม่พอสำหรับพื้นผิวถนนอันไม่เหมาะกับกับปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอไปยังสนามแข่งรถของ เนวิน ชิดชอบ ที่บุรีรัมย์ ซึ่งตอนนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แม้คนโตเมืองปราสาทหินจะยอมรับว่าสร้างมาพร้อมรองรับการแข่งขันรถสูตร 1 แต่ถ้าให้เป็นภาระตนคนเดียวคงไม่ไหว และไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง และแผนนี้ก็ค่อยๆ เงียบหายไป
ถึงวันนี้เรื่องรถสูตร 1 กลายเป็นความฝันอันไกลตัวสำหรับประเทศไทย เนื่องด้วยไม่อาจหาสนามแข่งขันได้ การเนรมิตสนามใหม่ขึ้นมาก็ย่อมต้องใช้เงินมหาศาล และส่อแววว่าจะไม่คุ้มในระยะสั้น รวมถึงจำนวนงบประมาณที่ต้องจำกัดจำเขี่ยของภาครัฐ ทุกวันนี้แม้แต่ข้าราชการ หรือหน่วยงานต่างๆ แค่จะไปดูงานที่เมืองนอกยังโดน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังสั่งห้ามเลย เรียกว่าแทบปิดตายการจัดการแข่งขันรายการใหญ่อื่นๆ รวมถึงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ เอเชียนเกมส์ ที่เคยหวังกันก่อนหน้านี้ด้วย
สิ่งที่เหลือเป็นมรดกของแนวความคิดในการจัดการแข่งขันรถสูตร 1 มาถึงตอนนี้คงมีแค่ “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์” ซึ่งล่าสุดมี “รองเสือ” สกล วรรณพงษ์ มานั่งเป็นประธานจัด ว่าตกลงเงิน 360 ล้านบาท ที่แยกเป็นเงินจากรัฐ 200 ล้านบาท เอกชน 160 ล้านบาท ที่เคยจ่ายไปสำหรับจัดปี พ.ศ. 2556 แต่ไม่ได้จัดเพราะติดปัญหาการชุมนุมทางการเมืองนั้น จะสามารถดึงกลับมาจัดในปี พ.ศ. 2559 ได้หรือไม่ เพราะเงินก็จ่ายไปครบ หรือจะจ่ายเพิ่มอีก 100 ล้านบาท เพื่อดึงกลับมาจัดอีกครั้ง ถึงตอนนี้แผนจัดรถสูตร 1 ไม่มีอีกแล้ว มันจะสูญไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แค่ให้นักขับคนดังมาขับโชว์กันรวมแล้ว 460 ล้านบาท จะคุ้มกันหรือไม่ คิดกันดูเองแล้วกัน...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
หากว่าจำไม่ผิดคิดว่าคงไม่หนีไปจากปี พ.ศ. 2553 มีการปลุกกระแสให้ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพการจัดแข่งขันรถยนต์สูตร 1 หรือ “เอฟ-1” เพื่อหารายได้เข้าประเทศ ช่วงเวลานั้นมีกระแสแรงมาก ถึงกับมีการดึงนักขับรถสูตร 1 มาขับโชว์กันที่ถนนราชดำเนิน สร้างความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็มีการโหมกระแสอย่างต่อเนื่องด้วยการจัดการแข่งขัน “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์ ไทยแลนด์” ในปี พ.ศ. 2555 ถือว่าเป็นสนามที่ 2 สำหรับการแข่งนอกยุโรปกันเลย โดยครั้งแรกแข่งกันที่สนามรังนก กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พ.ศ. 2552
การมาของรายการ “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์” ครั้งแรกนั้นคึกคักมาก มีนักแข่งดังอย่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์, เซบาสเตียน เวทเทล นำทีมแข่งขันกันที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จำได้ว่างานนี้ผู้สนับสนุนสินค้ารายต่างๆ ชื่นชอบระดมทุนให้การสนับสนุนกันเป็นจำนวนมาก และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พร้อมกับเป็นการดันกระแสจัดการแข่งขันรถสูตร 1 ในบ้านเราให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการตั้งทีมงานหาสถานที่จัดการแข่งขัน มีหลายจุดที่เห็นว่าน่าจัด เริ่มกันที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กะว่าจะให้การแข่งขันกันแบบไนต์เรซ ยามค่ำคืนชมแสงสีกลางพระนคร ขณะนักขับเหยียบคันเร่งจมพื้นรถ แต่สุดท้ายฝันนั้นก็พังพาบ เพราะโดนกระแสต่อต้านจากชุมชนต่างๆ โดยรอบ ไม่ว่าจะการปิดถนนสายหลักของนครหลวง รวมถึงมลภาวะทางเสียง ก่อนจะมีการส่งทีมงานไปหาสถานที่ใหม่ คราวนี้มองไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต แต่ดูจากสภาพภูมิศาสตร์ขึ้นลงสูงต่ำของพื้นที่มีเนินเขาน้อยใหญ่คงไม่เหมาะแข่งขันรถแข่งศักยภาพสูง แม้จะสะดวกด้วยมีสนามบินนานาชาติรองรับการขนส่งขนาดใหญ่ได้ตาม
ทีมงานครั้งนั้นยังคงไม่ท้อหาสถานที่กันจนไปเล็งพื้นที่ “หัวหิน - ชะอำ - ชลบุรี” สวยงามด้วยถนนเลียบชายหาด พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกไม่น้อยไปกว่าไข่มุกอันดามันโดยเฉพาะเรื่องโรงแรมที่พัก แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดก็ยังอาจดีไม่พอสำหรับพื้นผิวถนนอันไม่เหมาะกับกับปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอไปยังสนามแข่งรถของ เนวิน ชิดชอบ ที่บุรีรัมย์ ซึ่งตอนนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แม้คนโตเมืองปราสาทหินจะยอมรับว่าสร้างมาพร้อมรองรับการแข่งขันรถสูตร 1 แต่ถ้าให้เป็นภาระตนคนเดียวคงไม่ไหว และไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง และแผนนี้ก็ค่อยๆ เงียบหายไป
ถึงวันนี้เรื่องรถสูตร 1 กลายเป็นความฝันอันไกลตัวสำหรับประเทศไทย เนื่องด้วยไม่อาจหาสนามแข่งขันได้ การเนรมิตสนามใหม่ขึ้นมาก็ย่อมต้องใช้เงินมหาศาล และส่อแววว่าจะไม่คุ้มในระยะสั้น รวมถึงจำนวนงบประมาณที่ต้องจำกัดจำเขี่ยของภาครัฐ ทุกวันนี้แม้แต่ข้าราชการ หรือหน่วยงานต่างๆ แค่จะไปดูงานที่เมืองนอกยังโดน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังสั่งห้ามเลย เรียกว่าแทบปิดตายการจัดการแข่งขันรายการใหญ่อื่นๆ รวมถึงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ เอเชียนเกมส์ ที่เคยหวังกันก่อนหน้านี้ด้วย
สิ่งที่เหลือเป็นมรดกของแนวความคิดในการจัดการแข่งขันรถสูตร 1 มาถึงตอนนี้คงมีแค่ “เรซ ออฟ แชมเปี้ยนส์” ซึ่งล่าสุดมี “รองเสือ” สกล วรรณพงษ์ มานั่งเป็นประธานจัด ว่าตกลงเงิน 360 ล้านบาท ที่แยกเป็นเงินจากรัฐ 200 ล้านบาท เอกชน 160 ล้านบาท ที่เคยจ่ายไปสำหรับจัดปี พ.ศ. 2556 แต่ไม่ได้จัดเพราะติดปัญหาการชุมนุมทางการเมืองนั้น จะสามารถดึงกลับมาจัดในปี พ.ศ. 2559 ได้หรือไม่ เพราะเงินก็จ่ายไปครบ หรือจะจ่ายเพิ่มอีก 100 ล้านบาท เพื่อดึงกลับมาจัดอีกครั้ง ถึงตอนนี้แผนจัดรถสูตร 1 ไม่มีอีกแล้ว มันจะสูญไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แค่ให้นักขับคนดังมาขับโชว์กันรวมแล้ว 460 ล้านบาท จะคุ้มกันหรือไม่ คิดกันดูเองแล้วกัน...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *