ASTV ผู้จัดการรายวัน - ถือเป็นหนุ่มอีกคนที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้ สำหรับ ดร.นาวิน เยาวพลกุล หรือที่รู้จักกันดีคือ “นาวิน ต้าร์” ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเหตุผลก็คือการเล่นกีฬา ที่ปัจจุบันเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ชนิดเข้าเส้น เพราะไม่เช่นนั้นคงยากที่จะแข่งขันไตรกีฬาที่ต้องแข็งแกร่งทั้งร่ายกายและจิตใจ ดังนั้น เมื่อมีโอกาส MGR SPORT จึงไม่พลาดที่จะพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ชนิดเจาะลึก
“นาวิน ต้าร์” อดีตนักร้องวัยรุ่น ปัจจุบันด้วยวัย 35 ปี รับบทบาทอาจารย์สอนหนังสือที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งงานในวงการบันเทิง เพียงแต่สัดส่วนอาจจะน้อยลง เนื่องจากต้องแบ่งเวลาให้กับการเล่นกีฬา เมื่อพิจารณาดูแล้วอาจจะดูเหมือนเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน อย่างไรก็ตามเจ้าตัวเผยว่าใครก็ทำได้อยู่ที่ว่าจะลงมือหรือไม่
“เวลาเราเห็นคนเก่ง คือสิ่งนั้นเขาทำได้ดีกว่าตัวเองเมื่อวันวานเท่านั้น อาจจะเพราะว่ามีเวลามากกว่าคนอื่นๆ ใส่ใจอย่างเต็มที่ ถ้ามองแบบนี้เราทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้เหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่ จะเรียกว่าเป็นกำลังใจก็ได้ ถ้าคุณอยากเป็นอะไรก็เริ่มทำมันซะ ถ้าสิ่งนั้นจะอยู่ไกล อย่างน้อยก็คือเป้าหมาย ไม่ใช่แค่คาดหวัง ส่วนตัวผมทำทั้งทีก็ต้องเต็มที่ ถ้าครึ่งๆ กลางๆ ไม่ทำดีกว่า” นาวิน ต้าร์ เริ่มต้นบทสนทนาที่สะท้อนความเป็นตัวเองอย่างเห็นได้ชัดกับสิ่งที่ทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นการเรียน เล่น หรือทำงาน
ซึ่งเป้าหมายของ ดร.นาวิน ต้าร์ ตอนนี้ก็คือจะไปแข่งขันไอรอนแมน ที่ฮาวาย ให้ได้ก่อนอายุ 40 ปี ซึ่งถือเป็นการประลองกำลังของยอดมนุษย์เหล็กของแท้ ประกอบด้วย ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และวิ่ง ด้วยระยะทาง 3.8/180/42 กิโลเมตร ตามลำดับ
แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไหน จากนักร้องหนุ่มหน้าใสในอดีตที่มีอาการเจ็บป่วยสมัยเรียนที่เมืองนอก “ตอนนั้นป่วย เพราะว่าความเครียด เป็นไส้ติ่งอักเสบ ครั้งที่ 2 ซึ่งในเคสแบบนี้แทบจะหาไม่ได้เลย ไปให้หมอเช็กร่างกายแล้วบอกว่ามีโอกาสเป็นมะเร็ง โชคดีที่ไม่เกิดขึ้น จากนั้นก็คิดมาตลอดว่าจะต้องออกกำลังกาย”
ดังนั้น ด้วยความที่เป็นคนทำอะไรต้องทำให้สุดๆ การออกกำลังกายจึงไม่ธรรมดา ดอกเตอร์หนุ่ม กล่าวต่อว่า “พอวิ่งได้ก็เริ่มอยากจะวิ่งมาราธอน พอไปวิ่งจริงก็เข้าเส้นชัยแต่แทบตาย จะมีศัพท์นักวิ่งเรียกว่าชนกำแพง หรือในหนังรัก 7 ปีฯ เขาบอกว่าเจอปีศาจ คือกำแพงที่ว่ามันคือความล้มเหลวของร่างกายที่มันไม่ไปตามที่ใจคิด ใจเราคิดอยากขยับ แต่มันขยับไม่ได้ สุดท้ายก็เป๋ๆ ไปถึงเส้นชัย ตอนเห็นเส้นชัยก็วิ่งออก คือ ทำเป็นวิ่งเท่ แต่ก็ทุเรศมาก น่าเกลียด เลยปฏิญาณว่าจะซ้อมให้ดีกว่านี้”
ส่วนกระแสตอนนี้ที่มาแรงไม่แพ้การวิ่งก็คือการปั่นจักรยาน ซึ่ง นาวิน ต้าร์ คืออีกคนหนึ่งที่ต้องใช้คำว่าหลงใหลเลยทีเดียว “การขี่จักรยานมันสนุกตรงที่เวลาทุกคนกลับมาอยู่บนจักรยานอีกครั้งหนึ่งจะรู้สึกว่าเหมือนเป็นเด็กเป็นความอิสระที่ออกไปได้ไกลกว่าหน้าบ้านเหมือนกันกับคนที่ขี่ในกรุงเทพฯได้ ก็อยากออกต่างจังหวัด จักรยานสำหรับ ต้าร์ เป็นทั้งกีฬา และชีวิต อย่างในกรุงเทพฯ รถติดมาก แต่เราสามารถไปถึงที่หมายได้เกือบทุกที่ก่อนเพื่อนทุกคน สมมติจากสุขุมวิท มา ม.เกษตรฯ ประมาณ 10 กิโลฯ ก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ต้าร์ จะปั่นเส้นรัชดาฯ ก็ โทร. ไปบอกที่บ้านว่าจะนัดกินข้าวทุ่มนึง เราก็ออก 6 โมงครึ่ง เราก็ถึงภายในครึ่งชั่วโมงจริงๆ รักษาเวลาได้พอดีเป๊ะ แล้วได้ออกกำลังกายด้วย ไม่ต้องกลัวว่ารถจะติดแค่ไหน”
แต่การขี่จักรยานในกรุงเทพฯ นั้น นาวิน ต้าร์ บอกตามตรงว่าอันตรายไม่เหมือนเมืองอย่างอัมสเตอร์ดัม หรือโตเกียว “ทุกคนต้องเข้าใจว่า การที่คนหันมาปั่นจักรยานมากขึ้น นี่คืออนาคตนะครับ เมืองอนาคตเป็นเมืองที่คนรวยจะเริ่มมาใช้ระบบสาธารณะควบคู่ไปกับพาหนะ ที่มันเป็นพาหนะในระยะสั้น เช่น จักรยาน ซึ่ง ต้าร์ ก็มีความหวังว่าซักวันหนึ่งมันจะดีขึ้น ซักวันหนึ่งคนไทยก็คงเลิกที่จะชอบผิวขาว อาจจะชอบที่จะเป็นตัวดำๆ กัน เราก็ขี่จักรยานแบบตัวดำกันมากขึ้น”
แม้ว่าจะเป็นนักกิจกรรมตัวยง แต่งานหนักก็คือบทบาทของอาจารย์ที่ไม่มีทิ้งเช่นกัน “เวลาที่ไปมหาวิทยาลัย สิ่งหนึ่งที่คิดคือพยายามที่จะไปมอบอะไรให้กับสังคม คือ งานอาจารย์เป็นงานที่ต้องเสียสละ ต้องมีความรักให้กับลูกศิษย์ ทุกคนต้องเป็นไปเองจะถูกบังคับด้วยหน้าที่ด้วยงานที่ทำอยู่”
เหนืออื่นใดคือต้องการให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต "อาชีพครูคืออาชีพของการที่เอาตัวเข้าไปช่วยให้การศึกษามีความหมาย ไม่อย่างนั้นเด็กก็ผ่านระบบแล้วก็ผ่านไป ไม่ค่อยมีคุณภาพ แต่ด้วยความรักในอาชีพคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ทำงานต่อ แต่หลายครั้งเจอกับคำถามว่าทำไมต้องทำอะไรมากมาย เป็นอาจารย์แล้วทำไมต้องเป็นดารา หรือเป็นดาราแล้วยังจะสอนหนังสือกับเล่นกีฬา คือคนจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ ต้าร์ ต้องการคืออะไร อย่างที่บอกคือ คนเราจะมีโซนที่รู้สึกว่าสบายที่สุด พอทำแล้วรู้สึกอยาก เราก็ยิ่งอยากทำ แค่นั้นเอง”
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *