คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือดีกรีแชมป์ซีเกมส์ และ อันดับ 4 เอเชียนเกมส์ เปิดหัวได้อย่างสวยงามด้วยการเฉือนชนะ สิงคโปร์ เจ้าภาพและแชมป์เก่า 4 สมัย 2-1ในรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ที่เริ่มฟาดแข้งตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งหนทางการคว้าแชมป์ยังอีกไกลกว่าจะถึงนัดชิงชนะเลิศวันที่ 20 ธันวาคม นี้ “ไทม์เอาท์” จึงอาสาย้อนรอย ศึกชิงเจ้าภูมิภาคอาเซียน ที่ฟาดแข้งกันมาเป็นครั้งที่ 9 แล้วให้ได้อ่านกัน
ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ฟุตบอล แชมเปียนชิป” มีการเปลี่ยนชื่อทัวร์นาเมนท์ไปตามผู้สนับสนุนหลักโดยเริ่มจากน้ำเมายี่ห้อดังในชื่อ “ไทเกอร์ คัพ” ก่อนที่จะได้ยักษ์ใหญ่วงการยานยนตร์เข้ามาอุ้มในชื่อ “ซูซูกิ คัพ” จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มฟาดแข้งครั้งแรกเมื่อปี 1996 ที่ สิงคโปร์ มี 10 ประเทศร่วมแข่งขัน ซึ่งปีนั้น “ช้างศึก” นำโดยสตาร์ดัง เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ และ วรวุธ ศรีมะฆะ ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวังประเดิมแชมป์เปิดหัวได้สำเร็จด้วยประตูชัยของ “ซิโก้” เฉือน มาเลเซีย 1-0 อีกทั้ง “อัลเฟรด” ยังครองดาวซัลโว ด้วยจำนวน 7 ประตู
หลังจากนั้น ทีมชาติไทย ยังครองความเป็นเต้ยอาเซียนต่อเนื่อง ผลัดกันกอดโทรฟีกับ สิงคโปร์ ที่ยุคนั้นมี ฟานดี อาหมัด โคตรบอลแดนลอดช่องนำทัพ โดย “เมอร์ ไลออนส์” คว้าแชมป์ปี 1998 ที่เวียดนาม(ไทย จบที่ 4) ส่วน “ช้างศึก” ทวงคืนในปี 2000 ที่กรุงเทพ ด้วยการปราบ อินโดนีเซีย 4-1 จากแฮตทริคของ “เจ้าโย่ง” บวกกับ 1 ตุงของ ทนงศักดิ์ ประจักกะตา โดย “ซิโก้” คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม(MVP) พร้อมเบิ้ลแชมป์ต่อในปี 2002 ย้ำแค้น “อิเหนา” ในการดวลจุดโทษ 4-2 (เสมอในเวลา 2-2) และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น คว้า MVP เป็นรายที่สอง
แต่หลังจาก ครองแชมป์ 3 สมัยเป็นทีมแรก แข้งแดนสยามก็ช็อตไปดื้อๆกลายเป็น สิงคโปร์ ยุคผลัดใบนำโดย นอห์ อลัม ชาห์ เจ้าของดาวซัลโวสูงสุดรายการนี้ 17 ประตู ที่ผงาดคว้าแชมปี 2004 ก่อนที่ปี 2007 จะสร้างความเจ็บแสบด้วยการบุกมาชูถ้วยถึงสนามศุชลาศัย (นัดแรกที่ สิงคโปร์ ชนะในบ้าน 2-1 นัดสองเสมอ 1-1) ขึ้นมาเทียบเท่าที่ 3 สมัย ขณะที่ ไทย มีแข้งดังอย่าง ดัสกร ทองเหลา, สุเชาว์ นุชนุ่ม และ พิพัฒน์ ต้นกันยา
ก่อนที่ 2 ครั้งต่อมาถ้วยจะผลัดมือไปอยู่กับ เวียดนาม ในปี 2008 ภายใต้เพชฌฆาตนาม เล คอง วินห์ ที่ชนะไทยนัดชิงฯสกอร์รวม 3-2(ธีรศิลป์ แดงดา คว้าดาวซัลโวร่วม 4 ประตู) และ ปี 2010 เป็น มาเลเซีย ของ ซาฟิอี ซาลิ ดาวยิง 5 ประตู ที่ชนะ อินโดนีเซีย 4-2 ส่วน ไทย ตกรอบแรก
หลังจากนั้นไฮไลต์มาอยู่ที่ในปี 2012 โดยนัดชิงฯเป็นการพบกันระหว่าง ไทย กับ สิงคโปร์ ที่ครองแชมป์เท่ากันอยู่ 3 สมัย เกมแรกที่ จาลัน เบซาร์ “ช้างศึก” โดนทีเด็ดท้ายเกมของเจ้าถิ่นพ่ายไป 1-3 ส่วนเกมต่อมาที่ ศุภชลาศัย ได้ กีรติ เขียวสมบัติ ยิงไล่มาตั้งแต่ครึ่งแรก และขออีกเพียงประตูเดียวก็จะคว้าแชมป์ด้วยกฎประตูทีมเยือนแต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จชนะเพียง 1-0 สกอร์รวมพ่าย 2-3 ปล่อยให้ทัพ “เมอร์ ไลออนส์” ฉลองความสำเร็จต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง ขณะที่ “เจ้ามุ้ย” ได้รางวัลดาวซัลโว 5 ประตูปลอบใจ
ดังนั้นครั้งนี้จึงถือเป็นศึกครั้งสำคัญของพลพรรคช้างศึกที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ไล่ตั้งแต่โค้ชจนถึงนักเตะว่าจะสามารถทวงความเป็นเจ้าแห่งภูมิภาคอาเซียนกลับคืนมาได้หรือไม่หลังร้างโทรฟีมากว่า 12 ปีเต็ม หรือจะปล่อยให้ สิงคโปร์ คู่ปรับตัวฉกาจฉีกสถิติหนีไปอีก
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือดีกรีแชมป์ซีเกมส์ และ อันดับ 4 เอเชียนเกมส์ เปิดหัวได้อย่างสวยงามด้วยการเฉือนชนะ สิงคโปร์ เจ้าภาพและแชมป์เก่า 4 สมัย 2-1ในรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ที่เริ่มฟาดแข้งตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งหนทางการคว้าแชมป์ยังอีกไกลกว่าจะถึงนัดชิงชนะเลิศวันที่ 20 ธันวาคม นี้ “ไทม์เอาท์” จึงอาสาย้อนรอย ศึกชิงเจ้าภูมิภาคอาเซียน ที่ฟาดแข้งกันมาเป็นครั้งที่ 9 แล้วให้ได้อ่านกัน
ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ฟุตบอล แชมเปียนชิป” มีการเปลี่ยนชื่อทัวร์นาเมนท์ไปตามผู้สนับสนุนหลักโดยเริ่มจากน้ำเมายี่ห้อดังในชื่อ “ไทเกอร์ คัพ” ก่อนที่จะได้ยักษ์ใหญ่วงการยานยนตร์เข้ามาอุ้มในชื่อ “ซูซูกิ คัพ” จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มฟาดแข้งครั้งแรกเมื่อปี 1996 ที่ สิงคโปร์ มี 10 ประเทศร่วมแข่งขัน ซึ่งปีนั้น “ช้างศึก” นำโดยสตาร์ดัง เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ และ วรวุธ ศรีมะฆะ ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวังประเดิมแชมป์เปิดหัวได้สำเร็จด้วยประตูชัยของ “ซิโก้” เฉือน มาเลเซีย 1-0 อีกทั้ง “อัลเฟรด” ยังครองดาวซัลโว ด้วยจำนวน 7 ประตู
หลังจากนั้น ทีมชาติไทย ยังครองความเป็นเต้ยอาเซียนต่อเนื่อง ผลัดกันกอดโทรฟีกับ สิงคโปร์ ที่ยุคนั้นมี ฟานดี อาหมัด โคตรบอลแดนลอดช่องนำทัพ โดย “เมอร์ ไลออนส์” คว้าแชมป์ปี 1998 ที่เวียดนาม(ไทย จบที่ 4) ส่วน “ช้างศึก” ทวงคืนในปี 2000 ที่กรุงเทพ ด้วยการปราบ อินโดนีเซีย 4-1 จากแฮตทริคของ “เจ้าโย่ง” บวกกับ 1 ตุงของ ทนงศักดิ์ ประจักกะตา โดย “ซิโก้” คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม(MVP) พร้อมเบิ้ลแชมป์ต่อในปี 2002 ย้ำแค้น “อิเหนา” ในการดวลจุดโทษ 4-2 (เสมอในเวลา 2-2) และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น คว้า MVP เป็นรายที่สอง
แต่หลังจาก ครองแชมป์ 3 สมัยเป็นทีมแรก แข้งแดนสยามก็ช็อตไปดื้อๆกลายเป็น สิงคโปร์ ยุคผลัดใบนำโดย นอห์ อลัม ชาห์ เจ้าของดาวซัลโวสูงสุดรายการนี้ 17 ประตู ที่ผงาดคว้าแชมปี 2004 ก่อนที่ปี 2007 จะสร้างความเจ็บแสบด้วยการบุกมาชูถ้วยถึงสนามศุชลาศัย (นัดแรกที่ สิงคโปร์ ชนะในบ้าน 2-1 นัดสองเสมอ 1-1) ขึ้นมาเทียบเท่าที่ 3 สมัย ขณะที่ ไทย มีแข้งดังอย่าง ดัสกร ทองเหลา, สุเชาว์ นุชนุ่ม และ พิพัฒน์ ต้นกันยา
ก่อนที่ 2 ครั้งต่อมาถ้วยจะผลัดมือไปอยู่กับ เวียดนาม ในปี 2008 ภายใต้เพชฌฆาตนาม เล คอง วินห์ ที่ชนะไทยนัดชิงฯสกอร์รวม 3-2(ธีรศิลป์ แดงดา คว้าดาวซัลโวร่วม 4 ประตู) และ ปี 2010 เป็น มาเลเซีย ของ ซาฟิอี ซาลิ ดาวยิง 5 ประตู ที่ชนะ อินโดนีเซีย 4-2 ส่วน ไทย ตกรอบแรก
หลังจากนั้นไฮไลต์มาอยู่ที่ในปี 2012 โดยนัดชิงฯเป็นการพบกันระหว่าง ไทย กับ สิงคโปร์ ที่ครองแชมป์เท่ากันอยู่ 3 สมัย เกมแรกที่ จาลัน เบซาร์ “ช้างศึก” โดนทีเด็ดท้ายเกมของเจ้าถิ่นพ่ายไป 1-3 ส่วนเกมต่อมาที่ ศุภชลาศัย ได้ กีรติ เขียวสมบัติ ยิงไล่มาตั้งแต่ครึ่งแรก และขออีกเพียงประตูเดียวก็จะคว้าแชมป์ด้วยกฎประตูทีมเยือนแต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จชนะเพียง 1-0 สกอร์รวมพ่าย 2-3 ปล่อยให้ทัพ “เมอร์ ไลออนส์” ฉลองความสำเร็จต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง ขณะที่ “เจ้ามุ้ย” ได้รางวัลดาวซัลโว 5 ประตูปลอบใจ
ดังนั้นครั้งนี้จึงถือเป็นศึกครั้งสำคัญของพลพรรคช้างศึกที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ไล่ตั้งแต่โค้ชจนถึงนักเตะว่าจะสามารถทวงความเป็นเจ้าแห่งภูมิภาคอาเซียนกลับคืนมาได้หรือไม่หลังร้างโทรฟีมากว่า 12 ปีเต็ม หรือจะปล่อยให้ สิงคโปร์ คู่ปรับตัวฉกาจฉีกสถิติหนีไปอีก
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *