คอลัมน์ “ริงไซด์ ไฟต์คลับ” โดย “ลักษมณ์ นันทิวัชรินทร์”
ต่อเนื่องจากพฤติกรรมที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับแฟนมวยของ “ดำดอทคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ ในศึก K-1 World Max 2014 รอบชิงชนะเลิศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ยังมีแฟนๆ พูดถึง วิเคราะห์เจาะลึก รวมทั้งคาดเดาไปต่างๆ นานา ก็มีการเปิดประเด็นที่น่าสนใจ ในแง่ที่ว่าปัจจุบัน รายการ K-1 นั้นไม่ได้รับความนิยมอย่างแต่ก่อนนี้แล้ว
K-1 นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 20 ปีเศษที่ผ่านมา โดยมีจุดกำเนิดจาก “คิ๊กบ็อกซิ่ง” ของญี่ปุ่น ที่พยายามโปรโมตตัวว่าเหนือกว่ามวยไทย อาศัยทุนหนาโหมโปรโมตจนเกิดกระแสตื่นเต้นไปทั่วโลก จนนักมวยที่ฝึกหัดหลายคนก็คิดว่าตัวเองฝึกคิ๊กบ็อกซิ่ง ไม่ใช่มวยไทย นอกจากนั้น ก็พยายามสร้างภาพว่ามวยไทยนั้นโหดร้าย อันตราย
แต่มายุคหลังๆ มานี้ ผู้อยู่ในวงการมวยไทยก็ช่วยกันโปรโมทมวยไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น มีการจัดรายการมวยไทยโกอินเตอร์มากมาย รวมทั้งอดีตยอดมวยไทยหลายคนที่ไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศก็ช่วยกันให้ข้อมูลกับชาวต่างชาติให้รู้จักกับมวยไทยที่แท้จริงเยอะขึ้น ทำให้กระแสความนิยมเรื่อง คิกบ็อกซิ่ง เริ่มตกลงไป ที่สำคัญ การที่ศิลปะการต่อสู้แบบผสมสามารถสร้างความนิยมขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่มีภาพของความรุนแรงมากกว่ามวยไทยเป็นไหนๆ ทำให้กระแสตีกลับ ความรุนแรงของมวยไทยกลับถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ นักสู้ใน MMA หลายรายอาศัยการฝึกมวยไทยเพื่อเพิ่มขืดความสามารถในการต่อสู้ของตัวเองขึ้นไปอีก
ที่สำคัญ ก็คือ ตัว K-1 นี่แหละ ที่ทำตัวเอง จากการที่ตั้งเป้าโจมตีมวยไทยอย่างเดียว จนกลายเป็นกลัวแพ้นักมวยไทย และออกกฎกติกาต่างๆ ออกมาเพื่อ “คุมกำเนิด” อาวุธมวยไทยทั้งการห้ามใช้ศอก ห้ามการคีบคอตีเข่า โดยให้จับคอตีเข่าได้ครั้งเดียวแล้วต้องปล่อย ทำให้ภาพการต่อสู้ในรายการเค-วันไม่มีการต่อสู้วงใน มีแต่การเตะและปล่อยหมัดใส่กัน ภาพที่เราเห็นนั้นขาดสีสัน ขาดความตื่นเต้น และที่สำคัญ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ครบเครื่องหรือดุดันได้
ยิ่งในยุค “โซเชียลมีเดีย” ที่ทุกอย่างต้องแข่งขันกันบนอินเทอร์เน็ตอย่างรุนแรงขนาดนี้ เค-วันกำลังเริ่มหลุดวงโคจรไปเรื่อยๆ เพราะเว็บไซต์ของเค-วันนั้นก็ทำได้เชยสุดขีด ข่าวคราวต่างๆ ก็ช้า และไม่ Update เลย ทำแบบนี้ยิ่งยากที่จะได้ใจแฟนมวยรุ่นใหม่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ทางเค-วันจะเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ แบบนี้ต่อให้พยายามสร้างกระแส หรือจะสร้าง “ฮีโร่” ขึ้นมาแค่ไหนก็คงยากที่จะกลับมาได้รับความนิยมได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่ “เจ้าดำ” ของเราจะไม่แคร์แล้วว่าจะมีปัญหาอะไรกับเค-วันหรือเปล่า
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ต่อเนื่องจากพฤติกรรมที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับแฟนมวยของ “ดำดอทคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ ในศึก K-1 World Max 2014 รอบชิงชนะเลิศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ยังมีแฟนๆ พูดถึง วิเคราะห์เจาะลึก รวมทั้งคาดเดาไปต่างๆ นานา ก็มีการเปิดประเด็นที่น่าสนใจ ในแง่ที่ว่าปัจจุบัน รายการ K-1 นั้นไม่ได้รับความนิยมอย่างแต่ก่อนนี้แล้ว
K-1 นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 20 ปีเศษที่ผ่านมา โดยมีจุดกำเนิดจาก “คิ๊กบ็อกซิ่ง” ของญี่ปุ่น ที่พยายามโปรโมตตัวว่าเหนือกว่ามวยไทย อาศัยทุนหนาโหมโปรโมตจนเกิดกระแสตื่นเต้นไปทั่วโลก จนนักมวยที่ฝึกหัดหลายคนก็คิดว่าตัวเองฝึกคิ๊กบ็อกซิ่ง ไม่ใช่มวยไทย นอกจากนั้น ก็พยายามสร้างภาพว่ามวยไทยนั้นโหดร้าย อันตราย
แต่มายุคหลังๆ มานี้ ผู้อยู่ในวงการมวยไทยก็ช่วยกันโปรโมทมวยไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น มีการจัดรายการมวยไทยโกอินเตอร์มากมาย รวมทั้งอดีตยอดมวยไทยหลายคนที่ไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศก็ช่วยกันให้ข้อมูลกับชาวต่างชาติให้รู้จักกับมวยไทยที่แท้จริงเยอะขึ้น ทำให้กระแสความนิยมเรื่อง คิกบ็อกซิ่ง เริ่มตกลงไป ที่สำคัญ การที่ศิลปะการต่อสู้แบบผสมสามารถสร้างความนิยมขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่มีภาพของความรุนแรงมากกว่ามวยไทยเป็นไหนๆ ทำให้กระแสตีกลับ ความรุนแรงของมวยไทยกลับถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ นักสู้ใน MMA หลายรายอาศัยการฝึกมวยไทยเพื่อเพิ่มขืดความสามารถในการต่อสู้ของตัวเองขึ้นไปอีก
ที่สำคัญ ก็คือ ตัว K-1 นี่แหละ ที่ทำตัวเอง จากการที่ตั้งเป้าโจมตีมวยไทยอย่างเดียว จนกลายเป็นกลัวแพ้นักมวยไทย และออกกฎกติกาต่างๆ ออกมาเพื่อ “คุมกำเนิด” อาวุธมวยไทยทั้งการห้ามใช้ศอก ห้ามการคีบคอตีเข่า โดยให้จับคอตีเข่าได้ครั้งเดียวแล้วต้องปล่อย ทำให้ภาพการต่อสู้ในรายการเค-วันไม่มีการต่อสู้วงใน มีแต่การเตะและปล่อยหมัดใส่กัน ภาพที่เราเห็นนั้นขาดสีสัน ขาดความตื่นเต้น และที่สำคัญ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ครบเครื่องหรือดุดันได้
ยิ่งในยุค “โซเชียลมีเดีย” ที่ทุกอย่างต้องแข่งขันกันบนอินเทอร์เน็ตอย่างรุนแรงขนาดนี้ เค-วันกำลังเริ่มหลุดวงโคจรไปเรื่อยๆ เพราะเว็บไซต์ของเค-วันนั้นก็ทำได้เชยสุดขีด ข่าวคราวต่างๆ ก็ช้า และไม่ Update เลย ทำแบบนี้ยิ่งยากที่จะได้ใจแฟนมวยรุ่นใหม่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ทางเค-วันจะเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ แบบนี้ต่อให้พยายามสร้างกระแส หรือจะสร้าง “ฮีโร่” ขึ้นมาแค่ไหนก็คงยากที่จะกลับมาได้รับความนิยมได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่ “เจ้าดำ” ของเราจะไม่แคร์แล้วว่าจะมีปัญหาอะไรกับเค-วันหรือเปล่า
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
