คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
กำลังขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงสำหรับการลุ้นแชมป์ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2014 ซึ่งแม้จะเป็นหน้าเดิม 3 อันดับแรกจากฤดูกาลที่แล้วอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (แชมป์เก่า), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี แต่ซีซันนี้เร้าใจกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างสะดุดขาตัวเองจนทำให้แต้มยังไม่ทิ้งห่างมากนัก โดยเฉพาะ “ฉลามชล” ที่ผลงานเริ่มดีวันดีคืน จนลับมามีลุ้นเบียด 2 ยักษ์ใหญ่คว้าพุงปลาไปกิน
ชลบุรี เอฟซี เปิดฤดูกาลด้วยความหวังเล็กๆ ว่า จะผงาดคว้าโทรฟีให้ได้อีกครั้งต่อจากปี 2007 หลังจากได้เพียงเฉี่ยวไปมาเป็นพระรองตลอด ซึ่งฤดูกาลนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงหันมาใช้กุนซือต่างชาติคนแรกของประวัติศาสตร์สโมสร คือ มาซาฮิโร วาดะ เทรนเนอร์เลือดซามูไร แต่เมื่อออกสตาร์ทก็เข้าอีหรอบเดิมผลงานยังลุ่มๆ ดอนๆ จนแฟนบอลเริ่มจะถอดใจ จบเลกแรกด้วยอันดับ 4 ตามจ่าฝูง 7 แต้ม นักเตะใหม่อย่าง ไฮเม บรากันชา, ฮายาโตะ ฮาชิโมโตะ และ ยูกิ บัมบะ ไม่สามารถเป็นความหวังให้กับทีมได้ ยังต้องพึ่งตัวเก๋าทั้ง พิภพ อ่อนโม้ และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ในจังหวะสำคัญ
กระนั้นในเลกสอง โชคเริ่มเข้าข้างทีมดังแดนตะวันออกให้ได้กลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง เมื่อผู้นำอย่าง “กิเลนผยอง” เริ่มสะดุดขาตัวเอง ขณะที่ “ปราสาทสายฟ้า” ที่แม้จะคัมแบ็กท็อปฟอร์มแต่ก็เสียแต้มไปมากในช่วงต้นฤดูกาล จึงทำให้อันดับตารางคะแนน ณ ปัจจุบันไม่หนีห่างกันมากนักยังคู่คี่เบียดกันอยู่ทั้ง 3 ทีม
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “ฉลามชล” เองด้วยที่ฟอร์มเริ่มดีขึ้น เดินหน้าเก็บแต้มต่อเนื่อง 9 นัดในเลกหลัง ชนะถึง 7 นัด ยังไม่แพ้ใคร และสามารถเก็บ 1 คะแนน ในเกมเยือน เชียงราย ยูไนเต็ด กับ สุพรรณบุรี เอฟซี ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคงหนีไม่พ้นการเข้ามาของ จูเลียโน มิเนโร เพลย์เมกเกอร์บราซิเลียน ดีกรีแชมป์โลก ยู-17 (ปี 2003) เพราะแข้งวัย 28 ปี แสดงให้เห็นแล้วว่าตนคือของจริง ทั้งเทคนิค ทักษะ การเลี้ยงบอล จ่ายบอล แถมลูกตั้งเตะ เทียบเท่าสตาร์ต่างชาติรายอื่นในเวทีลูกหนังไทยได้สบาย ยิ่งได้จับคู่กับ ติอาโก คุนญา หอกเพื่อนร่วมชาติ ที่มีสไตล์การเล่นและเซนส์บอลทันกันด้วยแล้วพิษสงยิ่งทวีคูณ
เหนือสิ่งอื่นใดเครดิตสำคัญของผลงาน ชลุบรี เวลานี้ ต้องยกให้กับ วาดะ ที่เริ่มปรับจูนทีมจนกลมกล่อม โดยเฉพาะการแก้เกมที่แฟนบอลต่างพูดถึง หลายครั้งหลายคราที่แข้งสำรองที่ถูกส่งลงไปสามารถพลิกเกมได้ทั้งไล่ตีเสมอหรือยิงประตูชัย อาทิ ส่ง วานิช ใจแสน กับ ชาคริต บัวทอง ที่ลงมายิงเจ๋า ราชบุรี มิตรผล เอฟซี กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ตามลำดับ หรือ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่เป็นซูเปอร์ซับ ยิงประตูชัยดับ ทีโอที เอสซี
และหากกวาดตาดูโปรแกรมที่เหลืออีก 9 นัด หลังจากเกมพบ บุรีรัมย์ ไปแล้ว คิวของ “ฉลามชล” ไม่ถึงกับหนักมาก ประเดิมรับ สิงห์ ท่าเรือ ต่อด้วย (เยือน) แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี, (เหย้า) เอสซีจี เมืองทองฯ, (เยือน) อาร์มี่ ยูไนเต็ด, (เหย้า) ศรีสะเกษ เอฟซี, (เยือน)โอสถสภา เอ็ม150 สระบุรี, (เหย้า)แบงค็อก ยูไนเต็ด, (เยือน)ชัยนาท ฮอร์นบิล และปิดท้ายซีซันในบ้านกับ ทีโอที เอสซี ซึ่งถ้าคว้าชัยจาก “กิเลนผยอง” และไม่เสียท่ากับทีมหนีตายได้ดูแล้วมีลุ้นแน่นอน
ยามที่ “ปราสาทสายฟ้า” ไร้ คาร์เมโล กอนซาเลซ และ “กิเลนผยอง” ไม่มี ธีรศิลป์ แดงดา จะหาโอกาสไหนที่เหมาะเจาะขนาดนี้ให้ “ฉลามชล” ทวงแชมป์สมัยที่ 2 กลับรัง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
กำลังขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงสำหรับการลุ้นแชมป์ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2014 ซึ่งแม้จะเป็นหน้าเดิม 3 อันดับแรกจากฤดูกาลที่แล้วอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (แชมป์เก่า), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี แต่ซีซันนี้เร้าใจกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างสะดุดขาตัวเองจนทำให้แต้มยังไม่ทิ้งห่างมากนัก โดยเฉพาะ “ฉลามชล” ที่ผลงานเริ่มดีวันดีคืน จนลับมามีลุ้นเบียด 2 ยักษ์ใหญ่คว้าพุงปลาไปกิน
ชลบุรี เอฟซี เปิดฤดูกาลด้วยความหวังเล็กๆ ว่า จะผงาดคว้าโทรฟีให้ได้อีกครั้งต่อจากปี 2007 หลังจากได้เพียงเฉี่ยวไปมาเป็นพระรองตลอด ซึ่งฤดูกาลนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงหันมาใช้กุนซือต่างชาติคนแรกของประวัติศาสตร์สโมสร คือ มาซาฮิโร วาดะ เทรนเนอร์เลือดซามูไร แต่เมื่อออกสตาร์ทก็เข้าอีหรอบเดิมผลงานยังลุ่มๆ ดอนๆ จนแฟนบอลเริ่มจะถอดใจ จบเลกแรกด้วยอันดับ 4 ตามจ่าฝูง 7 แต้ม นักเตะใหม่อย่าง ไฮเม บรากันชา, ฮายาโตะ ฮาชิโมโตะ และ ยูกิ บัมบะ ไม่สามารถเป็นความหวังให้กับทีมได้ ยังต้องพึ่งตัวเก๋าทั้ง พิภพ อ่อนโม้ และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ในจังหวะสำคัญ
กระนั้นในเลกสอง โชคเริ่มเข้าข้างทีมดังแดนตะวันออกให้ได้กลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง เมื่อผู้นำอย่าง “กิเลนผยอง” เริ่มสะดุดขาตัวเอง ขณะที่ “ปราสาทสายฟ้า” ที่แม้จะคัมแบ็กท็อปฟอร์มแต่ก็เสียแต้มไปมากในช่วงต้นฤดูกาล จึงทำให้อันดับตารางคะแนน ณ ปัจจุบันไม่หนีห่างกันมากนักยังคู่คี่เบียดกันอยู่ทั้ง 3 ทีม
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “ฉลามชล” เองด้วยที่ฟอร์มเริ่มดีขึ้น เดินหน้าเก็บแต้มต่อเนื่อง 9 นัดในเลกหลัง ชนะถึง 7 นัด ยังไม่แพ้ใคร และสามารถเก็บ 1 คะแนน ในเกมเยือน เชียงราย ยูไนเต็ด กับ สุพรรณบุรี เอฟซี ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคงหนีไม่พ้นการเข้ามาของ จูเลียโน มิเนโร เพลย์เมกเกอร์บราซิเลียน ดีกรีแชมป์โลก ยู-17 (ปี 2003) เพราะแข้งวัย 28 ปี แสดงให้เห็นแล้วว่าตนคือของจริง ทั้งเทคนิค ทักษะ การเลี้ยงบอล จ่ายบอล แถมลูกตั้งเตะ เทียบเท่าสตาร์ต่างชาติรายอื่นในเวทีลูกหนังไทยได้สบาย ยิ่งได้จับคู่กับ ติอาโก คุนญา หอกเพื่อนร่วมชาติ ที่มีสไตล์การเล่นและเซนส์บอลทันกันด้วยแล้วพิษสงยิ่งทวีคูณ
เหนือสิ่งอื่นใดเครดิตสำคัญของผลงาน ชลุบรี เวลานี้ ต้องยกให้กับ วาดะ ที่เริ่มปรับจูนทีมจนกลมกล่อม โดยเฉพาะการแก้เกมที่แฟนบอลต่างพูดถึง หลายครั้งหลายคราที่แข้งสำรองที่ถูกส่งลงไปสามารถพลิกเกมได้ทั้งไล่ตีเสมอหรือยิงประตูชัย อาทิ ส่ง วานิช ใจแสน กับ ชาคริต บัวทอง ที่ลงมายิงเจ๋า ราชบุรี มิตรผล เอฟซี กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ตามลำดับ หรือ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่เป็นซูเปอร์ซับ ยิงประตูชัยดับ ทีโอที เอสซี
และหากกวาดตาดูโปรแกรมที่เหลืออีก 9 นัด หลังจากเกมพบ บุรีรัมย์ ไปแล้ว คิวของ “ฉลามชล” ไม่ถึงกับหนักมาก ประเดิมรับ สิงห์ ท่าเรือ ต่อด้วย (เยือน) แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี, (เหย้า) เอสซีจี เมืองทองฯ, (เยือน) อาร์มี่ ยูไนเต็ด, (เหย้า) ศรีสะเกษ เอฟซี, (เยือน)โอสถสภา เอ็ม150 สระบุรี, (เหย้า)แบงค็อก ยูไนเต็ด, (เยือน)ชัยนาท ฮอร์นบิล และปิดท้ายซีซันในบ้านกับ ทีโอที เอสซี ซึ่งถ้าคว้าชัยจาก “กิเลนผยอง” และไม่เสียท่ากับทีมหนีตายได้ดูแล้วมีลุ้นแน่นอน
ยามที่ “ปราสาทสายฟ้า” ไร้ คาร์เมโล กอนซาเลซ และ “กิเลนผยอง” ไม่มี ธีรศิลป์ แดงดา จะหาโอกาสไหนที่เหมาะเจาะขนาดนี้ให้ “ฉลามชล” ทวงแชมป์สมัยที่ 2 กลับรัง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *