ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล กำลังจะเปิดฉากขึ้นวันที่ 12 มิถุนายน - 13 กรกฎาคมนี้ สื่อหลายสำนักต่างจับตามอง สเปน แชมป์เก่า, เยอรมนี, อาร์เจนตินา และ เจ้าภาพ เป็นตัวเต็งของทัวร์นาเมนต์ ทว่าก็มีอีกหลายชาติที่อาจสร้างเซอร์ไพรส์เช่นกัน โดยเฉพาะ เบลเยียม เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งอุดมด้วยสตาร์วัยหนุ่มคับคั่ง พร้อมกับอีก 5 ทีม ตามกาารทำนายจากเว็บไซต์ “Ftbpro.com”
6. ชิลี
ทีมของ ฮอร์เก ซามปาโอลี กำชัยแมตช์กระชับมิตรเหนือพลพรรค “แซมบ้า” และ อังกฤษ รวมถึง อุรุกวัย ที่มีแกนหลักแนวรุกอย่าง ดีเอโก ฟอร์ลัน, หลุยส์ ซัวเรซ และ เอดินสัน คาวานี และปารากวัย รอบควอลิฟาย ถือว่าหนึ่งในตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ เป็นอีกทีมที่น่าจับตามอง หาก อาร์ตูโร วิดัล ห้องเครื่อง ยูเวนตุส ฟิตเต็มร้อยหลังผ่าตัดเข่า เมื่อเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม การตีตั๋วสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของ ชิลี ค่อนข้างสาหัส เนื่องจากอยู่ร่วมกลุ่ม B กับ สเปน และ เนเธอร์แลนด์ 2 มหาอำนาจลูกหนังฝั่งยุโรป
5. ฝรั่งเศส
เต็มไปด้วยสตาร์ลูกหนังระดับโลก อาทิ ฟรองค์ ริเบรี และ คาริม เบนเซมา แต่เมื่อถึงรายการสำคัญ ขุนพล “ตราไก่” มักบ้อท่าหลายครั้ง โดยตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ และหยุดเส้นทางไว้เพียงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโร 2012 แถมรอบคัดเลือกก็ทำเอาแฟนๆ ใจหายใจคว่ำ พลิกสถานการณ์อัด ยูเครน 3-0 (แพ้นัดแรก 0-2) ถึงกระนั้นขุมกำลัง “เลอ เบลอส์” ชุดนี้ ใช่ว่าเลวร้าย ขึ้นอยู่กับ ดิดิเยร์ เดสชองป์ส เทรนเนอร์ จะสามารถงัดฟอร์มสุดยอดจากตัวลูกทีมมากน้อยเพียงใด
4. ไอเวอรี โคสต์
รักษาสถิติไร้พ่ายมา 21 เกม รอบควอลิฟาย กอปรกับ ฟุตบอลโลก ครั้งนี้ คงเป็นโอกาสสร้างตำนานครั้งสุดท้ายของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวหอกกัปตันทีมวัย 36 ปี ซึ่งรายล้อมด้วย ยายา ตูเร จอมทัพจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี และ วิลเฟร็ด โบนี กองหน้าอะไหล่จาก สวอนซี ซิตี สำหรับรอบแรก “ช้างดำ” มีโอกาสกรุยทางสู่รอบน็อกเอาต์สูงทีเดียว เมื่ออยู่ร่วมกลุ่ม C กับ โคลอมเบีย, ญี่ปุ่น และ กรีซ
3. อังกฤษ
ครั้งนี้ ทีมของ รอย ฮอด์สัน ไม่มีใครคาดหวังจะฝ่าด่านถึงรอบชิงชนะเลิศ เนื่องจากขุมกำลังส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งผสมผสานกับสตาร์รุ่นเก๋า อาทิ เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด และผู้เล่นบางคนก็กำลังขึ้นหม้อทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ แต่การประเดิมสนาม พบ อิตาลี แชมป์โลก 4 สมัย พลพรรค “สิงโตคำราม” ต้องเค้นศักยภาพกันตั้งแต่ออกสตาร์ททัวร์นาเมนต์ เพื่อลุ้นเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย การหลุดจากสถานะตัวเต็ง อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ “เดอะ ทรี ไลออนส์” หักปากกาเซียนลงได้
2. โคลอมเบีย
ถูกหมายตาว่าจะสร้างสิ่งประทับใจ หลังคัมแบ็กสู่สังเวียนฟุตบอลโลก ครั้งแรกในรอบ 12 ปี อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะอันดับ 5 ของโลก (FIFA Ranking) โฆเซ เปเกร์มัน เทรนเนอร์ช่าวอาร์เจนไตน์ ขอเพียงเป็นม้ามืดของรายการเท่านั้น ภายใต้การนำของ ราดาเมล ฟัลเกา และ เจมส์ โรดริเกวซ 2 แนวรุกมหากาฬจาก โมนาโก แห่ง ลีก เอิง ฝรั่งเศส แถมการอยู่รวมกลุ่มกับ ญี่ปุ่น, ไอเวอรี โคสต์ และ กรีซ น่าจะผ่านสู่รอบน็อกเอาต์ได้ไม่ยาก
1. เบลเยียม
โดนยกย่องว่าจะเป็นหนึ่งทีมที่น่าจะเป็นม้ามืดตัวใหญ่สุดของรายการ ด้วยขุมกำลังให้เลือกใช้มากมายทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตู ไล่มาจนถึงกองหน้า เริ่มจาก ธิโบต์ คูร์ตัวส์, แว็งซองต์ กอมปานี, เอเดน ฮาซาร์ด กับ อัดนาน ยานูซาจ์ และ โรเมลู ลูกากู แม้จะยังขาดประสบการณ์บนเวทีระดับโลก แต่ก็มีดีกรีถึงเต็ง 5 ประจำทัวร์นาเมนต์ที่จะชูถ้วย “ฟีฟา เวิลด์ คัพ” สำหรับรอบแรกถือว่างานไม่หนัก เพราะต้องเผชิญหน้ากับ แอลจีเรีย, เกาหลีใต้ และ รัสเซีย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
6. ชิลี
ทีมของ ฮอร์เก ซามปาโอลี กำชัยแมตช์กระชับมิตรเหนือพลพรรค “แซมบ้า” และ อังกฤษ รวมถึง อุรุกวัย ที่มีแกนหลักแนวรุกอย่าง ดีเอโก ฟอร์ลัน, หลุยส์ ซัวเรซ และ เอดินสัน คาวานี และปารากวัย รอบควอลิฟาย ถือว่าหนึ่งในตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ เป็นอีกทีมที่น่าจับตามอง หาก อาร์ตูโร วิดัล ห้องเครื่อง ยูเวนตุส ฟิตเต็มร้อยหลังผ่าตัดเข่า เมื่อเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม การตีตั๋วสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของ ชิลี ค่อนข้างสาหัส เนื่องจากอยู่ร่วมกลุ่ม B กับ สเปน และ เนเธอร์แลนด์ 2 มหาอำนาจลูกหนังฝั่งยุโรป
5. ฝรั่งเศส
เต็มไปด้วยสตาร์ลูกหนังระดับโลก อาทิ ฟรองค์ ริเบรี และ คาริม เบนเซมา แต่เมื่อถึงรายการสำคัญ ขุนพล “ตราไก่” มักบ้อท่าหลายครั้ง โดยตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ และหยุดเส้นทางไว้เพียงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโร 2012 แถมรอบคัดเลือกก็ทำเอาแฟนๆ ใจหายใจคว่ำ พลิกสถานการณ์อัด ยูเครน 3-0 (แพ้นัดแรก 0-2) ถึงกระนั้นขุมกำลัง “เลอ เบลอส์” ชุดนี้ ใช่ว่าเลวร้าย ขึ้นอยู่กับ ดิดิเยร์ เดสชองป์ส เทรนเนอร์ จะสามารถงัดฟอร์มสุดยอดจากตัวลูกทีมมากน้อยเพียงใด
4. ไอเวอรี โคสต์
รักษาสถิติไร้พ่ายมา 21 เกม รอบควอลิฟาย กอปรกับ ฟุตบอลโลก ครั้งนี้ คงเป็นโอกาสสร้างตำนานครั้งสุดท้ายของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวหอกกัปตันทีมวัย 36 ปี ซึ่งรายล้อมด้วย ยายา ตูเร จอมทัพจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี และ วิลเฟร็ด โบนี กองหน้าอะไหล่จาก สวอนซี ซิตี สำหรับรอบแรก “ช้างดำ” มีโอกาสกรุยทางสู่รอบน็อกเอาต์สูงทีเดียว เมื่ออยู่ร่วมกลุ่ม C กับ โคลอมเบีย, ญี่ปุ่น และ กรีซ
3. อังกฤษ
ครั้งนี้ ทีมของ รอย ฮอด์สัน ไม่มีใครคาดหวังจะฝ่าด่านถึงรอบชิงชนะเลิศ เนื่องจากขุมกำลังส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งผสมผสานกับสตาร์รุ่นเก๋า อาทิ เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด และผู้เล่นบางคนก็กำลังขึ้นหม้อทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ แต่การประเดิมสนาม พบ อิตาลี แชมป์โลก 4 สมัย พลพรรค “สิงโตคำราม” ต้องเค้นศักยภาพกันตั้งแต่ออกสตาร์ททัวร์นาเมนต์ เพื่อลุ้นเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย การหลุดจากสถานะตัวเต็ง อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ “เดอะ ทรี ไลออนส์” หักปากกาเซียนลงได้
2. โคลอมเบีย
ถูกหมายตาว่าจะสร้างสิ่งประทับใจ หลังคัมแบ็กสู่สังเวียนฟุตบอลโลก ครั้งแรกในรอบ 12 ปี อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะอันดับ 5 ของโลก (FIFA Ranking) โฆเซ เปเกร์มัน เทรนเนอร์ช่าวอาร์เจนไตน์ ขอเพียงเป็นม้ามืดของรายการเท่านั้น ภายใต้การนำของ ราดาเมล ฟัลเกา และ เจมส์ โรดริเกวซ 2 แนวรุกมหากาฬจาก โมนาโก แห่ง ลีก เอิง ฝรั่งเศส แถมการอยู่รวมกลุ่มกับ ญี่ปุ่น, ไอเวอรี โคสต์ และ กรีซ น่าจะผ่านสู่รอบน็อกเอาต์ได้ไม่ยาก
1. เบลเยียม
โดนยกย่องว่าจะเป็นหนึ่งทีมที่น่าจะเป็นม้ามืดตัวใหญ่สุดของรายการ ด้วยขุมกำลังให้เลือกใช้มากมายทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตู ไล่มาจนถึงกองหน้า เริ่มจาก ธิโบต์ คูร์ตัวส์, แว็งซองต์ กอมปานี, เอเดน ฮาซาร์ด กับ อัดนาน ยานูซาจ์ และ โรเมลู ลูกากู แม้จะยังขาดประสบการณ์บนเวทีระดับโลก แต่ก็มีดีกรีถึงเต็ง 5 ประจำทัวร์นาเมนต์ที่จะชูถ้วย “ฟีฟา เวิลด์ คัพ” สำหรับรอบแรกถือว่างานไม่หนัก เพราะต้องเผชิญหน้ากับ แอลจีเรีย, เกาหลีใต้ และ รัสเซีย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *