เอเยนซี - ความหวังคว้า 4 แชมป์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ค่อยๆ หลุดมือไปทีละรายการ ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2557 ล้างแค้นไม่สำเร็จกระเด็นจากวงโคจร เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ วีแกน แอธเลติก เมื่อพ่ายไป 1-2 ส่วนวันพุธที่ 12 มี.ค.นี้ศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง หากไม่มีปาฏิหาริย์ที่รัง คัมป์ นู เท่ากับจะเหลือแค่ถ้วย พรีเมียร์ ลีก เท่านั้น ด้าน อาร์เซนอล จะลงเล่นถ้วยยุโรปเช่นกัน แต่ก่อนหน้านั้น 1 วัน โดย อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือ “ปืนโต” หวังจะ “เดจา วู” บุกชนะ บาเยิร์น มิวนิก ได้เหมือนเมื่อปีที่แล้ว
แมนฯซิตี เพิ่งเรียกความมั่นใจประเดิมแชมป์แรกของฤดูกาลด้วยการคว้าถ้วย แคปิตอล วัน คัพ ทว่าศึก เอฟเอ คัพ กลับต้องแพ้ วีแกน จากเวที แชมเปียนชิป โดยถูกยิงนำห่างจาก ยอร์ดี โกเมซ กับ เจมส์ เพิร์ช แม้ ซาเมียร์ นาสรี จะตีไข่แตกปลุกความหวัง แต่อีก 22 นาทีที่เหลือไล่ไม่ทันตกรอบคาถิ่น เอติฮัด สเตเดียม ซึ่งถือเป็นการถูกฝากรอยแค้นจาก “เดอะ ลาติกส์” 2 ปีติดต่อกัน หลังปีที่แล้วแพ้นัดชิงชนะเลิศ 0-1 จากประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
หลังเกม มานูเอล เปเยกรินี กุนซือ แมนฯซิตี กระตุ้นนักเตะลืมความผิดหวัง มุ่งมั่นแก้ตัวกับ 2 ถ้วยที่เหลือ เริ่มจากยุโรปที่จะต้องไปเยือน บาร์เซโลนา หลังนัดแรกเสียท่าคาถิ่น 0-2 “เราเสร็จงานไปแล้วหนึ่งถ้วยในศึก ลีก คัพ ตอนนี้เหลือ แชมเปียนส์ ลีก กับ พรีเมียร์ ลีก แน่นอนว่าจากนี้ทุกคนจะต้องสู้จนกระทั่งจบฤดูกาล อันดับแรกเลยคือต้องชนะ บาร์ซา แม้รู้ดีว่ายากแค่ไหน แต่หลังเกมกับ วีแกน วันรุ่งขึ้นเราจะนำผลงานมาทบทวนกันและมองถึงการยกระดับทีมให้ดีขึ้น ส่วนหลังเกมยุโรปก็จะไปไล่เก็บเกมตกค้างในลีกอีก 3 นัด”
ขณะที่ บาร์เซโลนา ผลงานกระท่อนกระแท่นศึก ลา ลีกา สเปน นัดล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาบุกพ่าย รีล บายาโดลิด 0-1 ถือเป็นการปราชัย 2 จาก 3 เกมหลังสุดจนตกมารั้งอันดับ 3 ตามจ่าฝูง รีล มาดริด 4 แต้มจาก 27 นัด อย่างไรก็ตามฟอร์มในถิ่น คัมป์ นู ยากที่ใครจะบุกมาคว้าชัยกลับออกไปง่ายๆ โดยปีนี้เสียท่าแค่ครั้งเดียวให้กับ บาเลนเซีย 2-3 แม้ว่าสกอร์ แชมเปียนส์ ลีก นัดแรก แมนฯซิตี จะโดนยิง 0-2 แต่ถ้าหากประตูแรกมาเร็วอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ยิ่งเกมแรกที่ เอติฮัด สเตเดียม มีจุดเปลี่ยนจากการที่ มาร์ติน เดมิเคลิช โดนใบแดงและเสียจุดโทษด้วย
หากวันพุธนี้ แมนฯซิตี จอดป้ายถ้วยยุโรป เท่ากับว่าต้องไปทุ่มใน พรีเมียร์ ลีก ที่ตามจ่าฝูง เชลซี 9 แต้มแต่แข่งน้อยกว่า 3 นัด แม้ประตูได้-เสียดีกว่าจึงมีโอกาสดีกว่าที่จะทวงบัลลังก์กลับคืนมา แต่โปรแกรมที่แน่นเอี้ยดต้องเตะถี่ขนาดนี้ใครจะกล้าการันตีว่า “เรือใบสีฟ้า” จะกวาดชัยได้ทั้งหมด เพราะมีปัจจัยความล้าและอาการบาดเจ็บของนักเตะ นอกจากนี้ยังมี ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซนอล เป็นขวากหนามอีก ซึ่งถ้าฤดูกาลนี้รูดม่านปิดฉากถิ่น เอติฮัด สเตเดียม มีแชมป์ แคปิตอล วัน คัพ แค่ถ้วยเดียวแน่นอนว่าบอร์ดบริหารคงจะไม่ปลื้ม เปเยกรินี อย่างแน่นอน
ด้าน อาร์เซนอล อีกหนึ่งตัวแทนของ อังกฤษ ที่ส่อแววม้วนเสื่อกลับบ้านแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของถ้วย แชมเปียนส์ ลีก เพราะนัดแรกแพ้คาถิ่น 0-2 ทำให้วันอังคารที่ 11 มีนาคมนี้ จะต้องบุกชนะ “แชมป์เก่า” บาเยิร์น ให้ได้สถานเดียว โดยเมื่อปีที่แล้วก็จ๊ะเอ๋กัน ณ ด่านนี้ก่อนที่ “ปืนโต” จะพังคาบ้าน 1-3 แต่บุกไปอัด 0-2 กระนั้นก็ตามต้องร่วงด้วยกฎประตูทีมเยือน
ก่อนเกม เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศสของ อาร์เซนอล หวังจะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่แคว้นบาวาเรียนอีกครั้ง ที่สำคัญรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาลนี้ บาเยิร์น ก็เคยแพ้คาถิ่นให้กับ แมนฯซิตี 2-3 มาแล้ว โดยกล่าวว่า “เราจะบุกไปเพื่อสิ่งที่ต้องการ ซึ่งผมมั่นใจว่าสามารถผลิตผลงาน แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าประตูแรกจะมาเมื่อไหร่ หลังจากนั้นทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ปีที่แล้วสามารถชนะได้ 2-0 ดังนั้นนักเตะมั่นใจ เกมยังไม่จบ ทุกคนมีความเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้”
อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น ฤดูกาลนี้ภายใต้การคุมทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือชาวสแปนิช ดูจะกล้าแกร่งกว่ายุคของ จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส ที่ทำ “เสือใต้” จนเป็นสโมสรแรกของเยอรมนีที่คว้าทริปเปิลแชมป์เมื่อปีที่แล้ว โดยเพิ่งบุกถล่ม โวล์ฟสบวร์ก 6-1 พร้อมนับถอยหลังสู่การชูถาด บุนเดสลีกา เนื่องจากทิ้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 20 แต้มขณะที่เหลืออีก 10 นัด ซึ่งถือเป็นการชนะ 16 นัดติดต่อกันและไม่แพ้ในลีกมาแล้ว 49 นัดเท่ากับ อาร์เซนอล ที่ทำไว้เมื่อปี 2004 แต่สถิติสูงสุดคือ 58 นัดที่ เอซี มิลาน ทำไว้ใน กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ช่วงปี 1991-93
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *