คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
นอกจาก เรอัล มาดริด และ บารเซโลนา แล้ว สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของ สเปน ที่ประสพความสำเร็จและมีแฟนๆ ติดตามเชียร์มากมายถัดไปก็คือ บาเลนเซีย ( Valencia Club de Futbol ) ซึ่งคว้าแช้มพ์ ลา ลีก้า ฟุตบอลลีกสูงสุดของ สเปน มาได้ 6 สมัย เป็นแช้มพ์ โกปา เดล เรอี ( Copa del Rey ) อีก 7 ครั้ง แถมในระดับนานาชาติก็ยังเคยได้แช้มพ์ ยูเอ็ฟฟ่า คัพ มาด้วยในฤดูกาล 2003-2004 แต่ตอนนี้สโมสรต้องจมอยู่บนกองหนี้สิน หาทางออกไม่เจอ ส่งผลให้อาจต้องถึงกับยอมขายสโมสรให้กับ พีเท่อร์ ลิม ( Peter Lim ) นักลงทุนมหาเศรษฐีชาว ซิงคโปร์
บาเลนเซีย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1919 ใช้ เอสตาดิโอ เด เมสตายา ( Estadio de Mestalla ) ซึ่งจุผู้ชมได้ 55,000 ที่นั่ง เป็นสนามเหย้ามาตั้งแต่ปี 1923 และความจริงก็มีกำหนดการจะย้ายไปใช้ นู เมสตายา ( Nou Mestalla ) สนามเหย้าแห่งใหม่ จุผู้ชมได้ 75,000 ที่นั่ง อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ลงมือก่อนสร้างมาตั้งแต่ปี 2007 แต่ดันมีปัญหาทางการเงินซะก่อน การก่อสร้างจึงชะงักไป
หนึ่งในฉายาของ บาเลนเซีย คือ โลส มูรซิเอลาโกส ( Los Murcielagos ) หรือ ค้างคาว อันนี้ก็ด้วยมีตัวค้างคาวอยู่ตรงส่วนบนของสัญลักษณ์ของสโมสร อันนี้เขาบอกว่า ตอนที่กษัตริย์ เจมส์ ที่ 1 แห่ง อารากอน บุกยึดครอง บาเลนเซีย ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 นั้น ในบริเวณนี้มีค้างคาวชุมอยู่แล้ว ถือเป็นสัตว์เด่นแห่งเมืองเลยก็ว่าได้ อีกตำราหนึ่งให้เหตุผลว่า ตอนที่พระองค์กำลังนำทัพเข้ายึด บาเลนเซีย คืนจากพวกแขกมัวร์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1238 นั้น มีค้างคาวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนยอดเสาธงประจำพระองค์ ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และหลังจากได้รับชัยชนะ กษัตริย์ เจมส์ ที่ 1 จึงทรงให้นำค้างคาวมาใส่ไว้ในตราสัญลักษณ์ของพระองค์
ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ บาเลนเซีย ประสพปัญหาด้านการเงิน สโมสรก็ทยอยขายนักเตะดีๆ ออกไปมากมายจนถูกให้ฉายาล้อเลียนว่าเป็น ศูนย์ผลิตนักเตะแห่งชาติ อย่างเช่น ราอูล อัลบิออล ( Raul Albiol ) ไปอยู่ เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยราคา 15 ล้าน ยูโร ในปี 2010 ดาบิด บียา ( David Villa ) และ ดาบิด ซิลบา ( David Silva ) ถูกขายออกไปแลกกับเงินเข้าสโมสรรวม 73 ล้าน ยูโร ปีถัดไป ฆวน มาตา ( Juan Mata ) ย้ายไปอยู่ เชลซี ด้วยค่าตัว 28 ล้าน ยูโร ปี 2012 ฆอรดี อัลบา ( Jordi Alba ) ถูกขายให้ บารเซโลนา งานนี้ บาเลนเซีย ได้มาอีก 14 ล้าน ยูโร นอกจากนั้นยังมีนักเตะอื่นๆอีกที่ถูกขายเพื่อทำเงินให้สโมสร รวมสรุป 1 ผู้รักษาประตู 4 กองหลัง 3 กองกลาง และ 4 กองหน้า คิดเป็นรายได้รวมประมาณ 190 ล้าน ยูโร ซึ่งการขายนักเตะออกไปเพื่อแลกกับเงินเข้ามากอบกู้สถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป
ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ บาเลนเซีย รอดพ้นวิกฤตด้านการเงินไปได้ เมื่อต้นปี 2013 รัฐบาลท้องถิ่นของ บาเลนเซีย เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เนื่องจากสโมสรมีหนี้สูงถึง 350 ล้าน ยูโร ติดเงิน ธนาคาร บังเกีย ( Bankia ) 220 ล้าน ยูโร และหนี้สินทั้งหมดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถชำระได้ ทางสโมสรกำลังดิ้นสุดฤทธิ์อยู่เหมือนกน นี่ก็ตั้ง กองทุนบาเลนเซีย ขึ้นมาเพื่อขอกู้เงินมาเพิ่มทุนจำนวน 86 ล้าน ยูโร และล่าสุด อามาเดโอ ซัลโบ ( Amadeo Salvo ) ประธานสโมสรคนปัจจุบันเปิดเผยว่า พีเท่อร์ ลิม นักธุรกิจชื่อดังทางด้านการกีฬา ซึ่งติดอันดับ 40 มหาเศรษฐีของ ซิงคโปร์ มีสินทรัพย์ราว 1.6 พันล้าน ยูเอส ดอลเล่อร์ส หรือประมาณ 5 หมื่นล้าน บาท กำลังยื่นข้อเสนอขอซื้อ บาเลนเซีย โดยมีเงื่อนไขต้องให้เรียบร้อยภายในไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2014 ทั้งนี้ ก็เพราะ บาเลนเซีย ยังอยู่ในเส้นทาง รอบ 32 ทีม ของ ฟุตบอล ยูโรปา ลีก ซึ่ง พีเท่อร์ ลิม ก็คงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงต้องการเข้ามากุมอำนาจทันที
ผมเคยบอกแล้วว่า สโมสรฟุตบอลของ สเปน พึ่งรายได้หลักอยู่ 3 ด้านเท่าๆ กัน อย่างแรกคือ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์ ซึ่ง บาเลนเซีย เป็นสโมสรยักษ์ใหญ่อันดับ 3 รายได้ทางนี้ไม่น่าเป็นปัญหา รายได้อย่างที่ 2 คือ สินค้าที่ระลึก เสื้อ ผ้าพันคอ อันนี้ก็ไร้กังวล ส่วนด้านสุดท้ายคือ ค่าตั๋วเข้าชม ซึ่งในปัจจุบัน บาเลนเซีย ขายตั๋วปีได้ 50,000 ที่ เรียกว่า เต็มความจุ เลย แถมยังมีลูกค้ารอเข้าคิวอีก 20,000 ราย เห็นอย่างนี้รายได้ทุกด้านมาเต็มพิกัดทั้งสิ้น แล้วยังดันมีปัญหาเรื่องการเงินอีก แสดงว่าการบริหารจัดการผิดอย่างให้อภัยไม่ได้ คอร์รัพเชิ่น อย่างเดียวครับที่เกิดขึ้นภายในสโมสรแห่งนี้
นอกจาก เรอัล มาดริด และ บารเซโลนา แล้ว สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของ สเปน ที่ประสพความสำเร็จและมีแฟนๆ ติดตามเชียร์มากมายถัดไปก็คือ บาเลนเซีย ( Valencia Club de Futbol ) ซึ่งคว้าแช้มพ์ ลา ลีก้า ฟุตบอลลีกสูงสุดของ สเปน มาได้ 6 สมัย เป็นแช้มพ์ โกปา เดล เรอี ( Copa del Rey ) อีก 7 ครั้ง แถมในระดับนานาชาติก็ยังเคยได้แช้มพ์ ยูเอ็ฟฟ่า คัพ มาด้วยในฤดูกาล 2003-2004 แต่ตอนนี้สโมสรต้องจมอยู่บนกองหนี้สิน หาทางออกไม่เจอ ส่งผลให้อาจต้องถึงกับยอมขายสโมสรให้กับ พีเท่อร์ ลิม ( Peter Lim ) นักลงทุนมหาเศรษฐีชาว ซิงคโปร์
บาเลนเซีย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1919 ใช้ เอสตาดิโอ เด เมสตายา ( Estadio de Mestalla ) ซึ่งจุผู้ชมได้ 55,000 ที่นั่ง เป็นสนามเหย้ามาตั้งแต่ปี 1923 และความจริงก็มีกำหนดการจะย้ายไปใช้ นู เมสตายา ( Nou Mestalla ) สนามเหย้าแห่งใหม่ จุผู้ชมได้ 75,000 ที่นั่ง อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ลงมือก่อนสร้างมาตั้งแต่ปี 2007 แต่ดันมีปัญหาทางการเงินซะก่อน การก่อสร้างจึงชะงักไป
หนึ่งในฉายาของ บาเลนเซีย คือ โลส มูรซิเอลาโกส ( Los Murcielagos ) หรือ ค้างคาว อันนี้ก็ด้วยมีตัวค้างคาวอยู่ตรงส่วนบนของสัญลักษณ์ของสโมสร อันนี้เขาบอกว่า ตอนที่กษัตริย์ เจมส์ ที่ 1 แห่ง อารากอน บุกยึดครอง บาเลนเซีย ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 นั้น ในบริเวณนี้มีค้างคาวชุมอยู่แล้ว ถือเป็นสัตว์เด่นแห่งเมืองเลยก็ว่าได้ อีกตำราหนึ่งให้เหตุผลว่า ตอนที่พระองค์กำลังนำทัพเข้ายึด บาเลนเซีย คืนจากพวกแขกมัวร์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1238 นั้น มีค้างคาวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนยอดเสาธงประจำพระองค์ ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และหลังจากได้รับชัยชนะ กษัตริย์ เจมส์ ที่ 1 จึงทรงให้นำค้างคาวมาใส่ไว้ในตราสัญลักษณ์ของพระองค์
ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ บาเลนเซีย ประสพปัญหาด้านการเงิน สโมสรก็ทยอยขายนักเตะดีๆ ออกไปมากมายจนถูกให้ฉายาล้อเลียนว่าเป็น ศูนย์ผลิตนักเตะแห่งชาติ อย่างเช่น ราอูล อัลบิออล ( Raul Albiol ) ไปอยู่ เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยราคา 15 ล้าน ยูโร ในปี 2010 ดาบิด บียา ( David Villa ) และ ดาบิด ซิลบา ( David Silva ) ถูกขายออกไปแลกกับเงินเข้าสโมสรรวม 73 ล้าน ยูโร ปีถัดไป ฆวน มาตา ( Juan Mata ) ย้ายไปอยู่ เชลซี ด้วยค่าตัว 28 ล้าน ยูโร ปี 2012 ฆอรดี อัลบา ( Jordi Alba ) ถูกขายให้ บารเซโลนา งานนี้ บาเลนเซีย ได้มาอีก 14 ล้าน ยูโร นอกจากนั้นยังมีนักเตะอื่นๆอีกที่ถูกขายเพื่อทำเงินให้สโมสร รวมสรุป 1 ผู้รักษาประตู 4 กองหลัง 3 กองกลาง และ 4 กองหน้า คิดเป็นรายได้รวมประมาณ 190 ล้าน ยูโร ซึ่งการขายนักเตะออกไปเพื่อแลกกับเงินเข้ามากอบกู้สถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป
ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ บาเลนเซีย รอดพ้นวิกฤตด้านการเงินไปได้ เมื่อต้นปี 2013 รัฐบาลท้องถิ่นของ บาเลนเซีย เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เนื่องจากสโมสรมีหนี้สูงถึง 350 ล้าน ยูโร ติดเงิน ธนาคาร บังเกีย ( Bankia ) 220 ล้าน ยูโร และหนี้สินทั้งหมดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถชำระได้ ทางสโมสรกำลังดิ้นสุดฤทธิ์อยู่เหมือนกน นี่ก็ตั้ง กองทุนบาเลนเซีย ขึ้นมาเพื่อขอกู้เงินมาเพิ่มทุนจำนวน 86 ล้าน ยูโร และล่าสุด อามาเดโอ ซัลโบ ( Amadeo Salvo ) ประธานสโมสรคนปัจจุบันเปิดเผยว่า พีเท่อร์ ลิม นักธุรกิจชื่อดังทางด้านการกีฬา ซึ่งติดอันดับ 40 มหาเศรษฐีของ ซิงคโปร์ มีสินทรัพย์ราว 1.6 พันล้าน ยูเอส ดอลเล่อร์ส หรือประมาณ 5 หมื่นล้าน บาท กำลังยื่นข้อเสนอขอซื้อ บาเลนเซีย โดยมีเงื่อนไขต้องให้เรียบร้อยภายในไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2014 ทั้งนี้ ก็เพราะ บาเลนเซีย ยังอยู่ในเส้นทาง รอบ 32 ทีม ของ ฟุตบอล ยูโรปา ลีก ซึ่ง พีเท่อร์ ลิม ก็คงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงต้องการเข้ามากุมอำนาจทันที
ผมเคยบอกแล้วว่า สโมสรฟุตบอลของ สเปน พึ่งรายได้หลักอยู่ 3 ด้านเท่าๆ กัน อย่างแรกคือ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์ ซึ่ง บาเลนเซีย เป็นสโมสรยักษ์ใหญ่อันดับ 3 รายได้ทางนี้ไม่น่าเป็นปัญหา รายได้อย่างที่ 2 คือ สินค้าที่ระลึก เสื้อ ผ้าพันคอ อันนี้ก็ไร้กังวล ส่วนด้านสุดท้ายคือ ค่าตั๋วเข้าชม ซึ่งในปัจจุบัน บาเลนเซีย ขายตั๋วปีได้ 50,000 ที่ เรียกว่า เต็มความจุ เลย แถมยังมีลูกค้ารอเข้าคิวอีก 20,000 ราย เห็นอย่างนี้รายได้ทุกด้านมาเต็มพิกัดทั้งสิ้น แล้วยังดันมีปัญหาเรื่องการเงินอีก แสดงว่าการบริหารจัดการผิดอย่างให้อภัยไม่ได้ คอร์รัพเชิ่น อย่างเดียวครับที่เกิดขึ้นภายในสโมสรแห่งนี้