ASTV ผู้จัดการรายวัน – ในขณะที่คอลูกหนังกำลังจับจ้องไปที่การเดินลงสนามเป็นตัวแทนสโมสรของไทยในการลุ้นความสำเร็จในศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งหากวันนี้ (18 ก.ย.56) บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพลิกล็อกคว่ำ เอสเตกัล เตหะราน ยอดทีมจากอิหร่านลงได้อย่างน้อยหนึ่งประตู ก็จะทะลุเข้าสู่รอบตัดเชือกทันที นั่นหมายความว่าขุนพลแข้ง “ปราสาทสายฟ้า” เขยิบใกล้โอกาสไต่สู่บันไดกวาด 4 แชมป์ในปี 2013
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 สมัยยังเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ เคยสร้างปรากฏการณ์กระหึ่มเวทีลูกหนังเมืองไทย ด้วยการกวาดทุกแชมป์ในประเทศมาประดับบารมี ทั้ง ไทยพรีเมียร์ลีก, เอฟ เอ คัพ และ ลีกคัพ แม้ปีถัดมาชวดแชมป์ลีกสูงสุด แต่ก็ได้บอลถ้วย 2 รายการปลอบใจ ส่วนในฤดูกาล 2013 เกียรติยศในประเทศดูเหมือนไม่ใช่เป้าหมายเดียวสำหรับ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรที่มองไปถึงการประกาศศักดาในเวทีบอลสโมสรของเอเชียถ้วยใบใหญ่
แม้นัดแรกบุกไปเสียท่าก่อน 0-1 ที่กรุงเตหะราน แต่รูปเกมถือว่า บุรีรัมย์ฯ ต่อกรได้ชนิดไม่เป็นรอง มาในนัดที่สอง โอกาสพลิกเข้ารอบมิได้ปิดเสียทีเดียว ซึ่ง เนวิน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว MGR Sport เชิงออกตัวว่า “การผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ ผมถือว่าเป็นกำไรแล้ว เพราะแรกเริ่มเราหวังเพียงเก็บได้ 6 แต้มในรอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น เมื่อมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องยอมรับว่าชื่อชั้นของ บุรีรัมย์ฯ เป็นรองทุกทีม แม้จะผ่านเอสเตกัล ไปได้ แต่ทีมที่เหลือไม่ว่าจะเจอใครก็แข็งแกร่งไม่ต่างกัน คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสลุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องวัดกันแมตช์ต่อแมตช์ เพราะฉะนั้นการหวังได้ทั้ง 4 แชมป์ในปีนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่ลำบาก”
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปีนี้จะไม่ได้ แต่ปีต่อไปมีโอกาสแน่นอน บุรีรัมย์ฯ จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เราพร้อมปรับปรุงทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้นตลอดเวลา ผู้เล่นไทยตอนนี้ลงตัวแล้ว สามารถใช้งานไปได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี แล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีเด็กจากอะคาเดมีเติบใหญ่ขึ้นมาทดแทนอีก ส่วนผู้เล่นต่างชาติที่ดูเหมือนยังไม่ลงตัว ก็เพราะเราต้องการเฟ้นหาให้ดีที่สุด โดยบางรายฝีเท้าดีแต่ไม่สามารถเล่นเข้ากับระบบได้” นายใหญ่อีสานทิ้งท้าย
โดยเกมตัดเชือก เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก บุรีรัมย์ฯ ภายใต้การคุมทัพของ อเลฮานโดร เมเนนเดส การ์เซีย กุนซือชาวสเปน ประกาศแล้วว่าจะส่งผู้เล่นต่างชาติลงสนามเพียงรายเดียวคือ ออสมาร์ อิบาเนซ ปราการหลังเลือดกระทิงดุ ส่วนที่เหลือ 10 คนจะเป็นผู้เล่นไทยล้วน นำโดย สุเชาว์ นุชนุ่ม, จิรวัฒน์ มัครมย์, ชาริล ชัปปุยส์, จักรพันธ์ แก้วพรม, ประทุม ชูทอง, สุรี สุขะ และธีราทร บุญมาทัน ที่พ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีม ขณะที่ เอสเตกัล ที่กำลังระส่ำเรื่องปัญหาการเงินค้างค่าจ้างนักเตะ จะไม่มี ซิยาวัช อักบัรปูร กองหน้าตัวเก่งที่บาดเจ็บ
ซึ่งหาก บุรีรัมย์ฯ ฝ่าด่านหินไปได้ รอบรองชนะเลิศจะไขว้ไปพบผู้ชนะระหว่าง อัล-อาห์ลี (ซาอุดีอาระเบีย) หรือ เอฟซี โซล (เกาหลีใต้) ถึงตรงนั้นคงไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป แม้หนทางที่เหลืออีกสายจะมีตัวเต็งอย่าง กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ของจีน, คาชิวา เรย์โซล (ญี่ปุ่น), อัล-ชาบับ ริยาดห์ (ซาอุดีอาระเบีย) และ เลกห์วิยา (กาตาร์) ยืนขวางทางอยู่ในรอบชิงก็ตาม
ส่วนผลงานในประเทศเวลานี้ บุรีรัมย์ฯ นำเป็นจ่าฝูงศึกโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก มีคะแนนเหนือกว่าอันดับ 2 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 5 แต้ม โดยเหลือการแข่งขันอีกเพียงทีมละ 6 นัด ดังนั้น “ปราสาทสายฟ้า” ขอฟาดอีกแค่ 13 แต้ม ก็จะการันตีแชมป์ทันที ขณะที่บอลถ้วย มูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ แม้ต้องปะทะกับ “กิเลนผยอง” ในรอบรองชนะเลิศ แต่หากผ่านไปได้ คู่ต่อกรในนัดชิงอย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี หรือ อินทรีเพื่อนตำรวจ หาใช่ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ไม่ ด้านศึกโตโยต้า ลีก คัพ นัดแรก “เซราะกราว” บุกพ่าย ระยอง เอฟซี 0-1 แต่นัด 2 ได้กลับมาเล่นในถิ่นถือว่าโอกาสยังเปิดกว้าง หากมองข้ามช็อตไปถึงเกมชิงดำ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี หรือ นครราชสีมา เอฟซี ล้วนแล้วแต่เป็นรองบ่อน ดังนั้นภารกิจอันยิ่งใหญ่กวาด 4 แชมป์จะสำเร็จหรือไม่ เอสเตกัล เตหะราน จะเป็นผู้ให้คำตอบแก่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเบื้องต้นนี้